ชลบุรี น่าเที่ยวทุกซีซั่น


เพิ่มเพื่อน    

(ชมแสงยามเย็นที่หาดบางเสร่)

    เมื่อไหร่ที่อยากจะไปเที่ยวทะเลใกล้ๆ กรุงเทพฯ เดินทางไม่กี่ชั่วโมง เชื่อว่าหลายคนคงเลือกไปบางแสน ไม่ก็พัทยา จังหวัดชลบุรีแน่ๆ แต่สำหรับชลบุรีไม่ได้มีแค่ทะเลเท่านั้น แต่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เยอะมาก ทั้งในพื้นที่อำเภอเมือง บางละมุง ศรีราชา สัตหีบ บางคนมาที่นี่มากกว่า 3 รอบ เพราะไม่เบื่อ

(ดำน้ำดูปะการัง)

    คณะเดินทางได้ออกจากกรุงเทพฯ ประมาณ 8 โมงกว่าๆ มุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรี เลี่ยงรถติดในช่วงวันหยุดที่หลายคนเตรียมออกจากเมืองกรุงไปเที่ยวต่างจังหวัด ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงจุดหมายแรกที่ร้านกาแฟอะกาลิโก ต.อ่างศิลา อ.เมือง ที่ตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่ ด้านหน้าตกแต่งด้วยไม้เลื้อย ต้นไม้ต่างๆ โดดเด่นแทรกตัวอยู่ท่ามกลางอาคารพาณิชย์ ส่วนด้านในแม้จะไม่ได้กว้างมาก แต่ก็ถูกจัดสรรพื้นที่ให้นั่งดื่มกาแฟกันอย่างสบายๆ หรือใครอยากจะชมวิธีการสกัดกาแฟก็สามารถนั่งตรงบาร์ได้

(พี่เอก เจ้าของร้านอะกาลิโอ กำลังสกัดกาแฟให้กับลูกค้า)

    เจ้าของร้านที่หลงรักในรสชาติของกาแฟ พงศ์พิสุทธิ์ สุพร หรือพี่เอก ได้เล่าให้ฟังว่า จากความชอบกาแฟสกัดเย็น และกาแฟดริป ทำให้เกิดความคิดอยากที่จะเปิดร้านกาแฟ ในสไตล์ของตัวเอง และนำเมล็ดกาแฟจากหลายแห่งทั้งในไทย อย่างที่ดอยตุง ผาฮี้ หรือในต่างประเทศที่เอธิโอเปีย และอีกหลายประเทศ มาทดลองสกัดในวิธีต่างๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของร้าน ทำให้ร้านมีกลุ่มลูกค้าที่ชอบเหมือนกับตนต้องเดินทางมาลิ้มลอง ใครที่กินกาแฟไม่เป็นก็มีเมนูน้ำอื่นๆ ด้วยนะ

(คนเยอะมากในวันหยุดที่ตลาดประมงพื้นบ้าน อ่างศิลา)

    จากร้านกาแฟ ไม่ควรพลาดไปตลาดประมงพื้นบ้าน อ่างศิลา แหล่งรวมของทะเลสดๆ อาหารทะเลแห้ง ร้านขนมของฝากมากมาย พอมาถึง ชาวคณะก็มุ่งไปที่ตลาดแบบไม่รีรอ กุ้ง ปลาหมึก ปู ปลาตัวใหญ่ เนื้อแน่นๆ สดใหม่ วางเรียงรายให้เลือกซื้อราคากิโลละไม่ถึง 300 บาท มาทั้งทีก็ขอลองกินยำแมงกะพรุนสักหน่อย เพราะยั่วยวนล่อตาล่อใจเหลือเกิน นอกจากความสดแล้ว น้ำจิ้มยังแซ่บซี้ดสุดๆ แถมยังได้เยอะ บรรยากาศในวันหยุดและยังเป็นช่วงวันที่ทุกคนเดินทางมาใช้สิทธิ์ชิมช้อปใช้ ทำให้ตลาดดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ได้พูดคุยกับแม่ค้า เขาบอกว่าวันธรรมดาค่อนข้างเงียบ วันหยุดพอได้ลูกค้าหน่อย ยิ่งมีคนเดินทางมาใช้สิทธิ์ก็พอขายได้ ดีกว่าเดิม

(หาดพัทยา โซนปรับปรุงใหม่ สะอาดตาน่าเล่นน้ำมากๆ)

    ไปต่อที่ชายหาดพัทยา ซึ่งตรงโซนที่เราจะเดินทางไปนั้นเป็นโซนที่ปรับปรุงใหม่ อยู่ตรงข้ามห้างสรรพสินค้าเดอะเบย์ ตั้งแต่พัทยาเหนือไปจนถึงพัทยาใต้ ยาวตลอด 2.8 กิโลเมตร แถมยังมีการถมทรายเพิ่มกว่า 3 เมตร ตรงจุดนี้มีเกาอี้ ร่ม เตียง ที่ได้มีการปรับโฉมใหม่ เตียงเป็นเตียงพับพลาสติกอย่างดี ปูด้วยเบาะยางสีเขียว เพื่อให้ได้มาตรฐานการบริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่มี 188 ล็อก กว่า 2,800 ที่นั่ง จะนั่งจะนอนสบายๆ เลย ในราคาตัวละ 100 บาท

(ร่ม เตียง โฉมใหม่ ให้บริการนักท่องเที่ยวได้มาตรฐาน)

    และยังมีบริการนวดเท้า นวดตัว ทำเล็บ ราคาเริ่มต้นที่ 200 บาท หรือจะทานอาหาร แต่เรามาถึงก็ใช้บริการนวดซะหน่อย หมอนวดที่นี่ได้รับการลงทะเบียนที่สำนักงานสาธารณสุขของจังหวัด มีใบรับรอง และสวมใส่ยูนิฟอร์มเป็นทีมเรียบร้อยทุกคน ไม่ต้องกลัวหมอนวดปลอม  ลมเย็นๆ มีคนมานวดให้ทำให้เราเกือบจะเคลิ้มหลับหากฝนไม่เทลงมาซะก่อน ต้องรีบแยกย้าย แพลนที่วางไว้วันนั้นจึงต้องพับเก็บไปตามระเบียบ

(ที่พักบ้านพิมพิสา (1))

    ทานข้าวเที่ยงเสร็จเราก็มุ่งหน้าเดินทางเข้าที่พักที่ บ้านพิมพิสา บางเสร่ บูติก เรสซิเดนซ์ ห่างจากหาดบางเสร่ไม่มากนัก ด้วยสไตล์การตกแต่งที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นคล้ายกับมาพักที่บ้าน ทำให้ที่นี่ดูมีเสน่ห์มากๆ ห้องที่เราพักเป็นแบบ 2 เตียง การตกแต่งง่ายๆ สบายตา ราคาก็ไม่แพง เริ่มต้นคืนละ 900 บาท

(บรรยากาศในห้อง ตกแต่งเรียบง่าย)

    พักผ่อนสักพักเราก็ออกไปเดินเล่นริมชายหาดบางเสร่ยามเย็น ยลแสงอาทิตย์กำลังจะลับขอบทะเล ยังคงมีเด็กๆ เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็นั่งเล่นอยู่ริมชายหาด รับลมทะเลพอชื่นใจเราก็ไปเดินถนนคนเดินบางเสร่ที่อยู่ติดกับหาดเลย จะมีแค่ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารหลากหลายเมนู เดินไปช้อปไป เหนื่อยก็หยุดพักดูการแสดงของน้องๆ โยกย้ายไปมาตามจังหวะ สร้างบรรยากาศให้ตลาดครึกครื้นได้ดีทีเดียว
    มื้อเย็นเรามาทานอาหารกันที่ร้านปรีชาซีฟู้ด ส้มตำปูม้ารสจัดจ้าน ไข่เจียว เมนูง่ายๆ ที่ขาดไม่ได้ ทั้งปูนึ่ง กุ้งอบ กับน้ำจิ้มซีฟู้ด อิ่มจนท้องกาง

(เกาะเป็ด บรรยากาศที่สวยงามและเหมือนจะเงียบสงัด)

    เช้าอีกวันกับโปรแกรมสุดท้าย ดำน้ำดูปะการัง ซึ่งเราได้โดยสารเรือประมงลำใหญ่ของพี่อุดม จิตถนอม ประธานชุมชนจันทสาโรบางเสร่ กลุ่มประมงบางเสร่ บอกว่า โดยทั่วไปตามโปรแกรมที่จัดไว้คือ ไปให้อาหารลิงแสมกว่า 1 พันตัวที่เกาะเป็ด หรืออีกชื่อ เกาะเป็ดแก้ว และไปดำน้ำต่อที่เกาะครามน้อยและเกาะครามใหญ่ ซึ่งอยู่ในบริเวณไม่ไกลกันมากนัก ราคาเหมาจะอยู่ที่ประมาณ 9,000 บาท (ราคาขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เลือกทำด้วยนะ) หรือเรือท้องกระจก ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 26,000 บาท มีเรือสปีดโบ๊ต ครึ่งวัน ราคาประมาณ 4,000 บาท ใครสนใจมาใช้บริการก็ติดต่อได้ที่พี่อุดม 08-6312-3376

(วิวเกาะครามน้อย เกาะครามใหญ่)

    คุยพอหอมปากหอมคอเราก็มานั่งชมวิวท้องทะเลสีมรกตเย็นๆ แล้วก็มาถึงกิจกรรมแรกที่เกาะเป็ด เราต้องถ่ายคนลงไปที่เรือเล็กเพื่อให้ง่ายกับการลงไปให้อาหารลิง พวกเราชุดแรกอาสาลงไปก่อน อย่าลืมกล้วยเชียวนะ จากเกาะที่โล่งและดูท่าจะเงียบสงัด พอเสียงเรือที่เข้าใกล้ฝั่ง ฝูงลิงแสมก็วิ่งกรูเข้ามาหาทันที เรือวนกลับมารับเราและเพื่อนที่เหลือ พอเรือเข้าใกล้ฝั่งเราถอดใจไม่ลงไป เพราะภาพพวกเราชุดแรกที่มาคือเจ้าลิงทั้งไต่ตัว ขึ้นบ่า กระโดดไปมาประหนึ่งเป็นต้นไม้ บางตัวยังมานั่งเปิดฝาน้ำดื่มเองบนเรืออย่างสบายใจเฉิบ ท่าทางมันช่างแสนรู้เสียจริง

(ขึ้นเรือไปให้อาหารลิงแสม)

    เสร็จภารกิจให้อาหารลิง เราล่องเรือไปต่อที่เกาะครามน้อย ร่างกายพร้อม สวมเสื้อชูชีพ อุปกรณ์ดำน้ำตื้นเสร็จ พวกเราก็กระโดดลงทะเลกันเลย ใต้ท้องทะเลที่เต็มไปด้วยมวลหมู่ปะการังสมอง ปะการังเขากวาง และฝูงปลาแหวกว่ายไปมา นี่แหละหนาคือความสวยงามของใต้ท้องทะเลจริงๆ

(ลิงแสมที่เกาะเป็ดมากินกล้วยจากนักท่องเที่ยว)

    เรากำลังเคลื่อนย้ายไปยังจุดดำน้ำอีกเกาะ แต่ฝนก็ตกลงมาซะงั้น ทำเอาเราต้องหยุดเดินเรือไปกว่า 20 นาทีเลย พอฝนซาๆ เรือก็มุ่งหน้าเข้าฝั่งทันที เพราะฝนอาจจะตกหนักลงมาอีกรอบได้ นึกแล้วก็เสียดายที่พลาดดำน้ำอีกเกาะ แต่คราวหน้าจะต้องกลับมาดำน้ำให้ครบทุกเกาะให้ได้เลย.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"