น้ำเสียงของผู้บริหารฮ่องกงและระดับนำที่ปักกิ่งแข็งกร้าวขึ้นทุกวัน
โดยเฉพาะหลังเหตุ “วันบ้าระห่ำ” เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
แคร์รี หล่ำ ผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประกาศกร้าว สถานการณ์ความรุนแรงในฮ่องกงกำลัง “ก้าวมาถึงจุดที่ไม่มีทางถอยแล้ว”
เธอใช้คำว่า “On the brink of no return”
ซึ่งหมายความว่าสถานการณ์ความวุ่นวายบนเกาะแห่งนี้ได้เสื่อมทรุดลงอย่างต่อเนื่องจนมาถึงขอบเหวที่ใกล้กับจุดที่หวนคืนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว
ในการแถลงข่าวหลังเหตุการณ์ตำรวจยิงผู้ประท้วงและผู้ประท้วงเทน้ำมันราดตัวผู้เห็นต่างพร้อมกับจุดไปเผาอย่างน่าหวาดหวั่นนั้น แคร์รี หล่ำ ประกาศว่า
“เป็นความคิดที่ผิดมาก ถ้าคิดว่าจะใช้ความรุนแรงบีบให้รัฐบาลฮ่องกงยอมต่อข้อเรียกร้องของผู้ประท้วง ดิฉันขอยืนยันว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นอันขาด”
ถือได้ว่านี่คือจุดยืนที่แข็งกร้าวที่สุดของเธอตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมประท้วงเมื่อห้าเดือนที่แล้ว
ก่อนหน้านี้เธอพยายามจะแสดงท่าทีประนีประนอมเคียงคู่กับความแข็งกร้าว
ประนีประนอมในเรื่องการนั่งลงพูดคุยกับคนทุกกลุ่มเพื่อร่วมกันหาทางออกเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของฮ่องกงที่แฝงตัวอยู่มาอย่างยาวนานแล้ว
แต่ขึงขังต่อความรุนแรงที่ฝ่ายต่อต้านใช้อย่างต่อเนื่องในหลายๆ โอกาส
ขณะเดียวกันฝ่ายประท้วงก็กล่าวหาว่าเธอไม่ยอมพูดถึงความรุนแรงที่ตำรวจใช้กับผู้ประท้วงในหลายๆ กรณี
ทำให้เธอตกอยู่ในสภาพไม่เป็นที่ไว้วางใจของคนฮ่องกงจำนวนไม่น้อย
เธออยู่ในฐานะที่ลำบากพอสมควร
เพราะฝ่ายต่อต้านไม่เอาเธอ เห็นว่าเธอเป็นเพียงหุ่นเชิดของรัฐบาลปักกิ่ง จะเจรจาต่อรองกับเธอก็ไม่มีประโยชน์อันใด เพราะเธอตัดสินใจอะไรไม่ได้ ต้องคอยชะเง้อไปมองว่าผู้นำที่ปักกิ่งจะว่าอย่างไร
แต่ขณะเดียวกันฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการประท้วง เห็นว่ามีแต่เรื่องวุ่นวายที่กำลังจะบั่นทอนอนาคตของฮ่องกงก็มองว่าเธออ่อนแอเกินไป ไม่มีบุคลิกที่น่าเกรงขามหรือเด็ดขาดอย่างที่ควรจะมี ไม่ว่าเธอจะแถลงอะไรอย่างไรก็จะถูกทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนเห็นว่าเธอไร้น้ำยาที่ไม่สามารถจะแก้วิกฤติของฮ่องกงได้
ผู้บัญชาการตำรวจฮ่องกงเซชุนชุงเรียกร้องให้ทุกฝ่าย “อยู่ในความสงบและใช้สติ” เพราะหากความรุนแรงยังดำรงอยู่ต่อไปก็จะกลายเป็นสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายพ่ายแพ้
ในสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนเป็นผู้แพ้ทั้งสิ้น” เขาประกาศหลังเหตุการณ์จลาจลลามไปเกือบทั้งเกาะ
ความไร้เหตุไร้ผลนั้นเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย ตำรวจที่ใช้กระสุนจริงยิงใส่ผู้ประท้วงทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมาก็ถูกวิพากษ์ว่า “ทำเกินเหตุ”
ตำรวจนายหนึ่งขับรถมอเตอร์ไซค์วิ่งฝ่าฝูงผู้ประท้วงเพื่อต้องการจะสลายการชุมนุมก็ถูกสอบสวนและถูกสั่งพักงานแล้ว
ขณะเดียวกันผู้ประท้วงบางคนก็มีความ “บ้าระห่ำ” แบบวัยรุ่นที่มีความรู้สึกว่า “ถ้าแพ้ครั้งนี้ก็ตายลูกเดียว” จึงใช้วิธีการบ้าเลือดหลายๆ อย่างเพื่อสะท้อนถึงความ “ไม่ยอมแพ้” ของฝ่ายตน
โดยที่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลส่วนใหญ่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยอาจจะไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีการรุนแรงเหล่านั้นเลยก็ได้
แต่เมื่อความเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลที่ฮ่องกงทำกันแบบ “ไร้ผู้นำเดี่ยว” เพราะไม่มีใครประกาศตนเป็นผู้นำใหญ่ มีแต่คณะประสานงานเป็นกลุ่มเท่านั้น จึงไม่ปรากฏแน่ชัดว่ายุทธวิธีของการปะทะกับตำรวจและการ “เผาบ้านเผาเมือง” นั้นเป็นแนวทางของฝ่ายใดกันแน่
ฮ่องกงวันนี้จึงกลายเป็นเมืองอัมพาตที่ผู้คนเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วว่าจะเหลืออนาคตอะไรให้คนรุ่นใหม่รับช่วงต่อไปได้อีกแล้ว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |