'เปรี้ยว'เล่านาทีโหดหั่นศพ ขึ้นให้การคนแรกพยานฝ่ายจำเลย/รับพลั้งมือทำให้แอ๋มตาย


เพิ่มเพื่อน    

    “เปรี้ยว หั่นศพ” ขึ้นให้การคนแรกของการสอบพยานฝ่ายจำเลย รับพลั้งมือจนทำให้แอ๋มตาย แต่ไม่ได้เตรียมการไว้ก่อนตามที่ตั้งข้อกล่าวหา พร้อมยืนหลักฐานตามคำให้การต่อ ผบ.ตร. มั่นใจกระบวนการยุติธรรมของไทยตัดสินอย่างเป็นธรรม
    เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 14 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังสิ้นสุดการนัดสอบคำให้การฝ่ายจำเลยวันแรกของศาล จ.ขอนแก่น องค์คณะผู้พิพากษาได้มีคำสั่งส่งตัว น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว จำเลยที่ 1, น.ส.กวิตา ราชดา หรือเอิน จำเลยที่ 2 และ น.ส.อภิวันท์ สัตบัณฑิต หรือแจ้ จำเลยที่ 5 กลับไปควบคุมตัวที่เรือนจำกลางขอนแก่น ขณะที่นายวศิน นามพรม ส่งกลับไปคุมขังที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น ขณะที่ น.ส.จิดารัตน์ พรหมคุณ หรือเบนซ์ ศาลอนุญาตให้กลับบ้านได้ ตามสิทธิ์ของการประกันตัวของกองทุนยุติธรรม พร้อมทั้งมีคำสั่งให้นัดสอบพยานฝ่ายจำเลยนัดที่ 2 ในวันที่ 15 มี.ค. แบบต่อเนื่อง โดยสิ้นสุดคำสั่งศาลเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ได้คุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ไปไว้ที่ห้องควบคุมตัวผู้ต้องหาระหว่างการพิจารณาคดีชั้นล่าง ศาล จ.ขอนแก่น เพื่อส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่จากกรมราชทัณฑ์รับตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 กลับไปทำการคุมขังตามเดิม
    นายบุญยงค์ แก้วฝ่ายนอก ทนายความฝ่ายจำเลย กล่าวว่า ในการสอบพยานจำเลยนัดแรกวันแรกนี้ ทนายความฝ่ายจำเลยได้ขอเบิกตัว น.ส.ปรียานุช จำเลยที่ 1 ขึ้นให้การ พร้อมนำเอกสารหลักฐาน ซึ่งเป็นคำให้การของผู้ต้องหาทั้งหมดที่ได้ให้ปากคำกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เมื่อครั้งถูกควบคุมตัวมาจากประเทศเมียนมา และนำตัวไปแถลงข่าวที่กรุงเทพฯ โดยมีการส่งเอกสารเพื่อประกอบคำให้การต่อศาล อีกทั้ง น.ส.เปรี้ยวก็ได้ให้การเช่นเดียวกันกับที่ได้ให้ปากคำไปกับ ผบ.ตร. ซึ่งศาลได้รับฟังคำให้การของจำเลย ซึ่งทนายโจทก์ได้มีการซักค้าน แต่เอกสารหลักฐานและคำให้การนั้นไม่ได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง คือตระเตรียมการโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยในคำให้การนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ระบุว่า พบผู้เสียชีวิตอยู่ที่หน้าร้านสะดวกซื้อ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้เจอตัวกันนาน จึงชวนกันมาพูดคุยและทวงหนี้สินที่คงค้าง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น และได้ตบตีลงไม้ลงมือกัน ซึ่งถือเป็นการกระทบกระทั่งกันในยกแรก จนกระทั่งผู้เสียชีวิตได้พูดออกมาอีกว่าถ้าอยากได้เงินให้ไปฟ้องศาลเอา ทำให้เปรี้ยวโมโห จึงเกิดการตบตีกันอีกครั้งจนกระทั่งผู้ตายแน่นิ่งไป
    “จำเลยพลั้งมือจนทำให้ผู้ตายเสียชีวิต โดยเปรี้ยวรับสารภาพว่าลงมือทำคนเดียว แต่การชำแหละศพนั้นทำด้วยกัน ซึ่งหลังจาก น.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย หรือน้องแอ๋ม ได้เสียชีวิตแล้ว ได้พากันขับรถไปในหลายที่เพื่อจะหาจุดทิ้งศพ แต่ด้วยเป็นช่วงเช้าจึงไม่สามารถลงมือได้ จึงวนรถกลับมาในเขตเทศบาลนครขอนแก่น เพื่อซื้ออุปกรณ์ในการหั่นศพ ซึ่งจำเลยยอมรับว่าในช่วงที่ทำนั้นเมา และที่ตัดสินใจหั่นศพเพราะต้องการทำลายศพ
    โดยเมื่อขับรถเข้าไปจอดที่รีสอร์ตแล้วนั้น นายวศินได้อุ้มผู้ตายไปไว้บนเตียงนอน และอุ้มไปไว้ในห้องน้ำ โดยก่อนลงจากรถได้ทำการมัดมือมัดเท้าผู้ตายแล้ว และก่อนที่จะหั่นศพ ยังคงได้ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ตายไว้โดยเอาเชือกรัดเพื่อไม่ต้องการเห็นหน้า ก่อนที่จะเริ่มลงมือตัดแขน และต่อด้วยการตัดลำตัวออกเป็น 2 ท่อน ซึ่งในตอนแรกต้องการจะหั่นให้เยอะกว่านี้ แต่ด้วยการตัดแต่ละชิ้นใช้เวลานานจึงตัดเพียงเท่านี้ และใส่ถุงดำยัดใส่ถังพลาสติก ก่อนขับรถไปหาจุดฝั่งศพ
    ระหว่างทางก็ทิ้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อเหตุไปเรื่อย และเมื่อถึงจุดที่ทิ้งศพ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเปรี้ยว และตรงจุดนั้นเป็นป่าช้า ทุกคนก็ได้ช่วยกันขุดหลุมนำศพไปฝัง กลบดินและปูนโบกทับ โดยในช่วงของการนำศพไปฝัง จำเลยที่  2 คือเอินไม่ได้ร่วมลงมือด้วยเพราะอาเจียนจากการก่อเหตุดังกล่าวตลอดเวลา จึงนั่งรออยู่บนรถ เมื่อแล้วเสร็จจึงขับรถที่เช่ามานั้นไปคืนและแยกย้ายกันหลบหนีจนกระทั่งถูกจับกุมตัวดังกล่าว”
    นายบุญยงค์กล่าวต่ออีกว่า ผู้ต้องหาไม่ได้มีทีท่าว่าจะหนีหรือขัดขืนการจับกุม มีการติดต่อประสานงานครอบครัวเพื่อเข้ามามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ ดังนั้นการให้การวันนี้ยืนยันในการพูดในความเป็นจริง ซึ่งศาลท่านนั้นรับฟังและตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ ตามที่ทนายฝ่ายจำเลยนำเสนอต่อศาล ขณะที่การสู้คดีแพ่งตามที่ฝ่ายโจทก์เรียกร้องมานั้น รวม 10,300,000 บาท ในเรื่องนี้ฝ่ายจำเลยก็ขอสู้คดีเช่นกัน โดยเป็นการเรียกค่าเสียหายที่มากเกินไป และไม่เป็นไปตามความเป็นจริง อีกทั้งจำเลยทุกคนก็ได้ชดใช้เงินไปบางส่วนแล้ว
    ขณะที่นายธนัญชัย วงษ์ซ้าย ทนายความของ น.ส.เบนซ์ กล่าวว่า ได้เบิกตัว น.ส.เบนซ์ จำเลยที่ 3 ในคดี ขึ้นสอบคำให้การต่อศาลต่อจาก น.ส.เปรี้ยว โดยเป็นการให้การรับสารภาพตลอดทุกข้อกล่าวหา ซึ่งโจทก์ตั้งข้อหาว่าร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร ซึ่งโดยพฤติกรรมนั้นคือ นายวศินและ น.ส.เปรี้ยว ซึ่งหลังก่อเหตุได้เดินทางหลบหนีและไปพบกับ น.ส.เบนซ์ที่ กรุงเทพฯ จึงขอยืมบัตรประจำตัวประชาชนของ น.ส.เบนซ์ในการนำโทรศัพท์มือถือของ น.ส.แอ๋มไปจำหน่าย และเมื่อได้เงินมา ทั้งหมดก็พากันแยกย้ายหลบหนี โดย น.ส.เบนซ์ได้ไปทำงานที่ จ.อุบลราชธานี ก่อนเข้ามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่
    "การสอบคำให้การดังกล่าวในวันนี้เสร็จสิ้นไปแล้ว 2 ปาก และในวันที่ 15 มี.ค.นี้ จะเบิกตัวผู้ต้องหาอีก 3 รายเข้าสอบคำให้การต่อองค์คณะผู้พิพากษา  คดีความดังกล่าวนั้น คาดว่าองค์คณะผู้พิพากษาจะพิจารณาตัดสินพร้อมกันในทุกข้อกล่าวหา ซึ่งเราไม่สามารถที่จะก้าวล่วงอำนาจศาลท่านได้ และทีมทนายความได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว" นายธนัญชัยกล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"