รัฐบาลเชิญชวนคนไทยลงทะเบียนแคมเปญร้อยเดียวเที่ยวทั่วไป ตั้งแต่ 06.00-24.00 น. “ซูเปอร์โพล” เผยผลสำรวจชิมช้อปใช้ทั้งโลกยุค 1 จี และ 3 จี พบคนส่วนใหญ่หนุน จี้รัฐเร่งพีอาร์ดึงมวลชนให้เพิ่มมากขึ้น
    เมื่อวันอาทิตย์ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวถึงเวลาทัวร์ให้ทั่วไทย ใน 2 แคมเปญ คือ ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย และเที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก ตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2562 ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเมื่อวันที่ 1 ต.ค. โดยโครงการร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย เป็นมาตรการจูงใจให้เดินทางออกไปท่องเที่ยว โดยเปิดให้ประชาชนรับสิทธิ์ใน 4 วัน คือ วันที่ 11-12 พ.ย. และวันที่ 11-12 ธ.ค. ตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น. ซึ่งสามารถลงทะเบียนได้ทาง w ww.tourismthailand.org/ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย หรือ w ww.ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย 
    ทั้งนี้ การรับสิทธิ์ชำระเงินเพียง 100 บาท สามารถเลือกของขวัญใน 5 หมวด คือ 1.หมวดการเดินทาง อาทิ บัตรโดยสารเครื่องบินและรถบัสปรับอากาศ 2.หมวดที่พัก 3.หมวดอาหารและเครื่องดื่ม 4.หมวดแพ็กเกจทัวร์ และ 5.หมวดแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมนันทนาการ และอื่นๆ ซึ่งมีของขวัญทั้งหมด 40,000 รายการ ให้สิทธิ์วันละ 10,000 สิทธิ์ สิทธิ์ละ 1 รายการ
    น.ส.ไตรศุลีกล่าวต่อว่า ส่วนเที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ผ่าน w ww.tourismthailand.org/เที่ยววันธรรมดา หรือ w ww.เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก ซึ่งนำเสนอโปรโมชั่นลดราคาสูงสุดถึง 80% เพื่อกระตุ้นการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยมีสินค้า 9 กลุ่มให้เลือก ทั้งบัตรโดยสาร สายการบิน ที่พักระดับ 5 ดาว เช่น ศรีพันวา ภูเก็ตวิลล่า สินค้าด้านสุขภาพและความงาม สินค้าระดับพรีเมียม กิจกรรมท่องเที่ยวชุมชน ฯลฯ
    “โครงการถึงเวลาทัวร์ให้ทั่วไทยเป็นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในปลายปี จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธ.ค. ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึง 400 ล้านบาท ทำให้ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวโดยรวมเพิ่มขึ้น 10%” น.ส.ไตรศุลีระบุ
    วันเดียวกัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่อง ชิมช้อปใช้ใครว่าได้ประโยชน์ โดยสอบถามประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ผ่านเสียงประชาชนในโลกโซเชียล 1,179 ตัวอย่าง และประชาชนในสังคมดั้งเดิม 1,080 ตัวอย่าง ตั้งแต่ 1-9 พ.ย.
    ทั้งนี้ ผลสำรวจผลว่า เสียงประชาชนในสังคมดั้งเดิมส่วนใหญ่หรือ 60.4% ได้เข้าใช้ประโยชน์จากมาตรการชิมช้อปใช้ ในขณะที่ 39.6% ไม่ได้เข้าใช้ประโยชน์ และเมื่อแบ่งแยกวิเคราะห์กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล กลุ่มพลังเงียบและกลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาล พบว่ากลุ่มคนทั้งสามกลุ่มใช้ประโยชน์จากมาตรการชิมช้อปใช้ เป็นส่วนใหญ่คือ 69.6% ของคนสนับสนุนรัฐบาล, 62.7% ของพลังเงียบ และ 52% ของคนไม่สนับสนุนรัฐบาล ได้ใช้ประโยชน์จากมาตรการชิมช้อปใช้ ส่วนคนที่ไม่ได้เข้าใช้ประโยชน์ เพราะเข้าไม่ถึงมาตรการ เป็นกลุ่มคนมีรายได้น้อย ไม่มีช่องทางเข้าถึง ขั้นตอนยุ่งยาก ไม่ทราบ ไม่รู้เรื่องนี้และอยู่ห่างไกล
    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดลกล่าวต่อว่า ที่น่าสนใจคือเมื่อวิเคราะห์เสียงของประชาชนในโลกโซเชียลผ่านระบบ Net Super Poll ด้วยการประมาณการจำนวนเข้าถึงเรื่องชิมช้อปใช้ พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 21,898,746 คน เป็นเสียงตอบรับในทางบวก  67.8% และเสียงตอบรับในทางลบ 32.2% ซึ่งเสียงตอบรับในทางลบจะเป็นไปในเชิงวิพากษ์วิจารณ์มาตรการและมีการเผยแพร่กว้างขวางด้วยคำว่าล้มเหลว ในขณะที่คำต่างๆ ที่เสียงตอบรับในทางบวกคือคำว่าท่องเที่ยว  
    “จากผลโพลอาจฟันธงได้ว่ามาตรการชิมช้อปใช้ได้ผลในแง่แย่งชิงมวลชนได้สำเร็จในเชิงการเมือง แต่ในเชิงเศรษฐศาสตร์ต้องวิเคราะห์อีกรูปแบบหนึ่ง เพราะเสียงประชาชนในสังคมดั้งเดิมและเสียงประชาชนในโลกโซเชียลเป็นไปในทิศทางบวก จนทำให้ฝ่ายตรงข้ามออกมาเคลื่อนไหวหนัก ใช้การสื่อสารเชิงลบเข้าทำลายด้วยเล็งเห็นจุดอ่อนของคนทั่วไปในสังคมที่ขับเคลื่อนข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี ทางออกคือ กระทรวงต่างๆ ต้องทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะคำว่าท่องเที่ยวถูกใช้มาก แต่กระจายตัวสูง ต้องสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึงมากขึ้น และทำให้คำว่า ท่องเที่ยว รวมพลังกับคำว่า ชิมช้อปใช้ จะสามารถทำลายพลังคำว่าล้มเหลวในเสียงของประชาชนได้สำเร็จ ให้ถือหลักน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามมาเป็นฝ่ายสนับสนุน” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดลระบุ.