ออกกำลังตั้งแต่เด็ก ทำประโยชน์เพื่อสังคม ชีวิตคิดบวกจาก "คุณหญิงชดช้อย"


เพิ่มเพื่อน    

(คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช)

 

      เป็นนักกีฬาเหรียญเงิน ประเภททีมผสมวัยเก๋า ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 2018 ที่ประเทศอินโดนีเซีย จากกีฬาไพ่บริดจ์ที่หลายคนรู้จักกันดี สำหรับ คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช ในวัย 75 ปี นอกจากนี้ยังดำรงำแหน่งประธานบริดจ์ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกมากว่า 20 ปี กระทั่งล่าสุดดำรงตำแหน่งกรรมการสมาพันธ์บริดจ์โลก หรือแม้แต่บทบาทด้านสังคม ในฐานะนายกสมาคมสร้างสรรค์ไทย ที่มีผลงานรณรงค์การรักษาความสะอาดในโครงการ “ตาวิเศษ” ที่ก่อตั้งตั้งแต่ พ.ศ.2527 เป็นต้นมา

      ผลงานที่กล่าวมาย่อมการันตีความสามารถของคุณหญิงชดช้อยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้บทบาทการเลี้ยงลูกทั้ง 4 คนในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว รวมถึงการออกกำลังตั้งแต่เด็ก เนื่องจากเป็นสาวรักกิจกรรมในช่วงวัยเยาว์ เนื่องจากเจ้าตัวอยู่โรงเรียนประจำ จึงถือได้ว่าเป็นการดูแลสุขภาพที่ทำมาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และแน่นอนว่าการดูแลร่างกายที่ดีจากภายในย่อมส่งผลต่อภายนอก ที่งานนี้ทำเอาหลายคนเดาอายุของคุณหญิงชดช้อยไม่ถูก เมื่อมีโอกาสได้สัมภาษณ์พูดคุย เจ้าตัวได้เผยให้ทราบถึงเทคนิคการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงไว้น่าสนใจ ผ่านการสอดแทรกแง่คิดในการใช้ชีวิต เพื่อเป็นข้อมูลดีๆ ให้คนยุคใหม่ที่รักทั้งการเล่นกีฬาและเป็นเวิร์กกิ้งวูแมน มีสุขอนามัยที่แข็งแรงเหมือนเจ้าตัว

      คุณหญิงชดช้อย บอกว่า พอดีเป็นคนที่ออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากไปเรียนต่างประเทศมา ซึ่งก็ดีอย่างหนึ่งคือเราได้เล่นกีฬา เมื่อก่อนจะเล่นกีฬาอยู่ทีมของโรงเรียน เรียกว่าทุกประเภทเลยก็ว่าได้ แล้วไม่คอยหยุดเล่นกีฬา มีทั้ง วิ่ง บาสเกตบอล ซอฟต์บอล แล้วก็เล่นเทนนิส ที่สำคัญตัวเองเป็นแชมป์เทนนิสที่โรงเรียน เวลามีลูกก็อยากให้ทั้งหมดชอบกีฬา

        อีกอันหนึ่งเราโชคดีที่กินอาหารที่ดีโดยอัตโนมัติ และเป็นชาวจีนแต้จิ๋วดังนั้นอาหารการกินก็จะค่อนข้างจืด ต้ม นึ่ง ตลอด เราชอบอาหารแบบนั้นกินมาแต่เด็ก และก็ไปเรียนโรงเรียนประจำ ดังนั้นอาหารก็จะจืดมาก และไม่มีขนมให้รับประทานเลย กินอาหารเช้า ส่วนมื้อเที่ยงมีนม 1 แก้ว กับผลไม้ชิ้นหนึ่ง และตก 4 โมงเย็นก็จะมีผลไม้อีกชิ้นหนึ่ง ส่วน 6 โมงกินข้าวแล้วก็จบ ไม่เคยมีขนมกินเลย อยู่ที่บ้านตัวเองพ่อแม่ไม่ให้กินขนม เลยทำให้ตัวเองไม่กินของจุกจิก อีกทั้งการที่เราไปเรียนอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็กถึง 9 ปี เลยทำให้กินของเผ็ดไม่เป็น กินของมันก็ไม่เป็น โชคดีไป หากว่าวันไหนที่นึกอยากรับประทานของหวาน ก็จะชอบขนมไทย ไม่ชอบขนมฝรั่ง เลยทำให้ติดเป็นนิสัยที่ถือโชคดีไปค่ะ นอกจากนี้ตัวเองชอบกินถั่ว ผัก ผลไม้เยอะ ไม่กินขนมขบเคี้ยว

        นักกีฬาเหรียญเงินเอเชียนเกมส์วัยเก๋า บอกอีกว่า ตอนนี้เจ้าตัวไม่มีโรคประจำตัวอะไรเลย และก็ออกกำลังกายเป็นประจำ คือเมื่อก่อนเต้นรำ แต่มีปัญหาว่าหมอนรองกระดูกไปทับเส้นประสาท เลยทำให้รู้สึกปวดมากตอนอยู่อังกฤษ และโชคดีที่ได้หมอกระดูกที่เก่ง แล้วเขาก็มาปรับเรา โดยห้ามไม่ให้ผ่า จนรักษาต่อมาเรื่อยๆ อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทก็ดีขึ้น โดยใช้เวลากว่า 1 ปี ก่อนที่จะกลับเข้าสู่สภาพเดิม และธรรมดาก็ไม่ใส่เส้นสูง ถ้าใส่ส้นสูงก็จะเลือกทรงที่เป็นตึก ก็จะพยายามระวังตัวเอง และก็ไม่ได้เต้นรำแล้ว

        “เนื่องจากคุณหมอเขาจะบอกว่าทำอะไรได้บ้าง เช่น ออกกำลังด้วยการเดินได้ หรือวิ่งได้ แต่อย่ากระแทกและอย่าเร็ว อีกทั้งต้องไม่เอี้ยวตัว แต่การเต้นรำต้องใช้การเอี้ยวตัว ดังนั้นเลยไม่ได้เต้นรำต่อ แต่เราเป็นคนชอบเต้นรำ เพราะอยากพัฒนาตัวเอง แต่กลัวใจตัวเอง เพราะเราเป็นนักแข่งอยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจเลิกเต้นรำอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ตอนนี้มีแต่เต้นรำแบบสนุกๆ และเรียนพิลาทิสอาทิตย์ละครั้ง แต่พยายามทำให้ได้ 2 ครั้ง ซึ่งบางครั้งให้ครูมาสอนที่บ้าน และคิดว่าพิลาทิสนั้นค่อนข้างดี เพราะมันเป็นการยืดตัว และสอนให้เราได้ฝึกคุมช่วงกลางลำตัว เวลาจับของก็ทำให้เราแข็งแรง ไม่ต้องใช้หลัง ไม่ใช้เข่า ช่วยเราได้เยอะค่ะ

      นอกจากนี้กีฬายามว่างที่เป็นงานอดิเรก อย่างการแข่งขันกีฬาไพ่บริดจ์ ที่เล่นมาประมาณ 40 ปี กระทั่งล่าสุดได้รับรางวัลเหรียญเงิน ประเภททีมผสม ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2018 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ต้องบอกว่าจุดเริ่มต้น ของการแข่งขันกีฬาประเภทดังกล่าวนั้น เริ่มเล่นตั้งแต่เมื่อเริ่มแรกที่พี่ชายและเพื่อนๆ พี่ รวมถึงอดีตสามีเขาก็มาเล่นด้วย ซึ่งเขาเล่นตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เขาซ้อมเล่นกันที่บ้าน เล่นกันได้ทั้งคืน เพราะสมัยก่อนเราไม่ได้ไปเที่ยวเตร่ เขาเล่นไพ่กันนั่งวันทั้งคืน

      เราซ้อมมาเรื่อยๆ กระทั่งเราได้เหรียญเงินปีที่แล้วของเอเชียนเกมส์ ซึ่งเราเป็นคนอายุมากได้รับเหรียญ ก็รู้สึกภูมิใจและดีใจ แต่ทั้งนี้ การเล่นไพ่บริด์จก็ยังเป็นกีฬาที่ชอบอยู่ และตอนนี้คิดว่าไม่ไหวแล้ว เมื่อปีก่อนที่ไปแข่งเอเชียนเกมส์ เราซ้อมทุกวันเสาร์และอาทิตย์ และก็อีก 3 คืน (ซ้อม 5 วันต่อสัปดาห์) ซ้อมตั้งแต่ 1-5 ทุ่ม ซ้อมหนักมาก เพราะเราต้องทำให้ได้ 70 เปอร์เซ็นต์ของตารางในระดับทีมชาติที่เขาวางมาให้ ซึ่งตอนนี้เรารู้สึกเหนื่อยมาก

        ขยับมาที่การดูแลจิตใจนั้น คุณหญิงชดช้อย บอกว่า “การดูจิตใจของตัวเอง คือเราจะไม่เครียด เพราะคิดว่าต้องปล่อยวาง และโชคดีที่ไม่ค่อยถือสาคนที่จะมาว่าเราหรือพูดอะไร เพราะเราคิดอยู่เสมอว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดอะไร ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำ เพราะบางครั้งเราก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนอื่นทำ ฉะนั้นเขาจะพูดอะไรก็ปล่อยไป เพราะบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ใช้เตือนใจเราได้ บางทีเพื่อนบอกกับเราว่า เธออันนี้มันไม่จริง และเธอให้เขาว่าเราได้อย่างไร เราก็จะบอกกับเพื่อนว่า ปล่อยเขาไปเถอะ เดี๋ยวคนอื่นเขารู้กัน ให้เขาคิดไปและเราต้องปล่อยไป โดยการไม่เอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ ถ้าเรารู้ว่ามันไม่จริงก็ให้จบไป โดยไม่จำเป็นต้องแก้ตัว เพราะยิ่งเราแก้ตัว คนอื่นก็ยิ่งคิดว่าใช่เราจริงๆหรือเปล่าที่ทำ คือให้ปล่อยวางค่ะ

      ปิดท้ายกันที่การทำงานหลังอายุ 60 ปี งานนี้ กรรมการสมาพันธ์บริดจ์โลก บอกว่า “เราไม่คิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่แล้ว เพราะเราทำในสิ่งที่เราทำมาตลอด แต่เราโชคดีว่าเราสามารถหางานทำโดยที่ตัวเราเองก็มีความสุข และเราไม่ต้องไปทำงานให้กับคนอื่นที่เราไม่อยากทำ ยกตัวอย่าง เราทำ “มูลนิธิชินโสภณพนิช” ซึ่งเราเป็นผู้อำนวยการและกรรมการ คือเราหางานที่เราคิดว่าเกิดประโยชน์ เช่น “โครงการโรงเรียนไทยสู่ความเป็นเลิศ” เพราะคิดว่าสังคมไทยเรานั้นขาด แต่เราทำของเราไปเรื่อยๆ และอยากพัฒนามาอีกระบบ โดยเฉพาะการให้ความรู้กับนักศึกษาที่กำลังจะออกไปสอนเด็กให้เป็น โดยให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ มันจะได้เร็วขึ้น ทำคู่กันไป เพราะเราทำมาตลอด 17 ปี ทั้งหมดประมาณ 75 โรงเรียน จึงอยากทำมันเร็วกว่านี้ ก็เลยอยากพัฒนาคู่กันไป.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"