7 พ.ย 62 - นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณี การลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่จ.ศรีสะเกษ โดยมีสมัชชาคนจนประมาณ 500 คน มารอเพื่อยื่นหนังสือขอให้รัฐบาลแก้ปัญหาเขื่อน จนต้องเปลี่ยนจุดลงเฮลิค็อปเตอร์ ว่า ตนเชื่อว่าทางกลุ่มสมัชชาคนจนต้องการยื่นให้ถึงมือนายกรัฐมนตรีเพื่อความมั่นใจว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขเท่านั้น แต่การที่ส่งตัวแทนไปรับหนังสือแทน นั้นอาจทำให้ชาวบ้านเกิดความไม่มั่นใจ นายกรัฐมนตรีเองควรลงไปชนกับปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งปัญหาทั้ง 3 เขื่อนที่ชาวบ้านมายื่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะแก้ได้โดยทันที แต่นายกฯยังถือประเพณีเดิมๆจากสมัยที่เป็นนายกคสช. ทั้งที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งหลังการเลือกตั้งมาแล้วถึง 6 เดือน ไม่ว่าจะลงพื้นที่ไปไหน ล้วนมีทีมรักษาความปลอดภัยเต็มไปหมด แม้จะไม่มีการบาดเจ็บ การทำแบบนี้ ตกต่างกับนายกรัฐมนตรีในอดีตที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง  นอกจากนี้การเปลี่ยนจุดลง ฮ.โดยไม่รับหนังสือเอง อาจทำให้กลุ่มสมัชชาคนจนเดินทางเข้ากรุงเทพอีกครั้ง พอส่งตัวแทนมาคุยผลสรุปก็ออกมาเป็นแบบเดิม

เขากล่าวต่อว่า  ตนคิดว่าพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้กลัวเรื่องความปลอดภัย  แต่เขาไม่อยากเจอซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่อยากตอบคำถาม หรือมีข้อมูลไม่พอ ซึ่งนี่เป็นการซื้อเวลา ตนคิดว่าคนอีสานคุยง่ายที่สุด การเปลี่ยนจุดลง ฮ. หรือการมีชุดรักษาความปลอดภัยเยอะๆ นั้น เป็นการบอกว่าระยะห่างระหว่างนายกฯ กับประชาชน นั้นไม่ใกล้ชิดเลย ไม่ใช่ลักษณะของคนที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยตัวเอง และด้วยความที่เขาไม่รู้จริงก็ยิ่งทำให้แก้ปัญหาไม่ออก ทั้งที่โอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดีในการทำความเข้าใจปัญหาโดยตรง 

“ต่อไปพอนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ ประชาชนจะมาร้องเรียน แต่ไม่เจอนายกฯ สุดท้ายเขาก็เข้ากรุงเทพอีก ซึ่งวิธีคิดแบบนี้มาจากคนที่ไม่ได้มาจากชาวบ้านโดยตรง นายกรัฐมนตรีเองต้องปรับวิธีการตรงนี้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาพื้นฐานที่มีอยู่บ่อยๆ จากนี้ ก็ต้องเจอ ปัญหาเรื่องข้าว เรื่องแล้งอีก แทนที่นายกฯจะใช้โอกาสนี้รับฟังปัญหา แต่กลับหนีปัญหาเสียงเอง ซึ่งในระบบประชาธิปไตย นายกฯจะหนีประชาชนไม่ได้ แต่ภาพแบบนี้ออกมาก็กลายเป็นการหลบเลี่ยง ทั้งที่การเลือกตั้งครั้งนี้ คนอีสานก็เลือกพลังประชารัฐเยอะ นายกฯก็น่าจะให้ใจหน่อย ปัญหาแค่นี้ยังหลบ แล้วหากปัญหาใหญ่ก็จะหนีไปเรื่อย” นายคารมระบุ