"ประธานศาลฎีกา" ปาฐกถา "คุกมีไว้ขังคนจนจริงหรือ" ยกสถิติต้องขังคดี 6.8 แสน ติดคุกจริง 9 หมื่น ไม่มีนิยามเป็นคนรวยหรือจนกี่เปอร์เซ็นต์ ยันต้องถูกปฏิบัติตามกฎหมายเหมือนกัน รับจับคนรวยยากกว่าและหนีประกันมากกว่า เตือนดูตัวเลขฟังข้อมูลจริง อย่าหลงข่าวดรามาชี้นำสังคม
ที่ห้องประชุม ประกอบ หุตะสิงห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ในงานวันธรรมศาสตร์สามัคคี ครั้งที่ 20 โดยนายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "คุกมีไว้ขังคนจนจริงหรือ" ว่า สัมผัสกับความทุกข์ยากของประชาชนมาตลอด ซึ่งพ่อของตนเป็นเพียงเสมียนศาล โดยผ่านวิกฤติเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519 เห็นคนบริสุทธิ์ถูกแขวนแขนคอกับต้นมะขาม รวมถึงเหตุการณ์วิกฤติตุลาการปี 2534 พบว่าสังคมเรายังมีความไม่ยุติธรรม ยังมีการเอารัดเอาเปรียบกัน ความที่ตนเป็นชาวธรรมศาสตร์ มีสำนึกเสมอว่า เรารักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้เรารักประชาชน สะท้อนในใจเสมอมา
นายไสลเกษกล่าวว่า ยึดหลักต้องละเว้นจากการรับสินบน ต้องมีลมหายใจไว้เพื่อทำงานในช่วงดำรงตำแหน่ง หลักสำคัญคือรักษาคนบริสุทธิ์และปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงขอรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและข้าราชการศาลยุติธรรม เพื่อนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดเป็นนโยบาย และพบว่าทุกวันนี้ยังมีปัญหามากมายต้องแก้ไข จึงต้องลำดับความสำคัญของปัญหาที่ต้องแก้ไขทำได้จริง ในวันที่ 7 พ.ย.นี้ จะแถลงนโยบายต่อผู้พิพากษาและสื่อมวลชน เพื่อสะท้อนถึงประชาชน หัวใจสำคัญคือเรื่องสิทธิเสรีภาพของผู้เสียหาย เหยื่ออาชญากรรม ผู้ต้องหา จำเลยที่รอการพิสูจน์ว่าผิดหรือบริสุทธิ์
ส่วนที่มีกระแสความคิดว่า ศาลปล่อยผู้ต้องขังน้อย ไม่ให้โอกาสคนออกมาสู้คดี และคุกมีไว้ขังคนจนจริงหรือไม่ ขออธิบายว่า จากการวิจัยของหลายหน่วยงานพบว่าคนที่ต้องขังส่วนใหญ่เป็นคนจน แต่ก็ไม่มีนิยามว่าอย่างไรจึงจะเรียกได้ว่าคนนี้จน คนนี้ไม่จน มีการตั้งสมมติฐานว่าคนที่มีความรู้ การศึกษา มีฐานะ มีโอกาสทางการศึกษา จึงรู้ว่าอะไรผิดถูก โอกาสติดคุกก็น้อยลง แต่เราแน่ใจหรือว่าคำพูดที่ว่ารวยแล้วไม่โกงมันจริงหรือ การศึกษาสูง ทำให้คนทำผิดน้อยลงจริงหรือ คนจนคนด้อยโอกาสทางการศึกษา ขาดสติยั้งคิด ไปก่อเหตุลักวิ่งชิงปล้นก็ง่าย คดีเกิดบ่อย จับได้บ่อย จริงหรือไม่ ส่วนคนรวยเป็นคนมีความรู้ทางการเงิน มักจะทำผิดข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ปั่นหุ้น มีวิธีการก่ออาชญากรรมที่มีการใช้องค์ความรู้ มีรายละเอียดสลับซับซ้อนกว่าการลักวิ่งชิงปล้น ทำให้ถูกจับยากกว่าจริงหรือไม่ และมีใครเคยเห็นคนจนทำผิดข้อหาปลอมใบกำกับภาษี หลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรนำเข้าส่งออกสินค้าบ้าง ไม่มีใช่หรือไม่
"มีคำถามว่าแล้วในคุกมีคนจนกับคนรวยใครมากน้อยกว่ากัน จากรายงานของคณะทำงานของผมพบว่า ปี 2561 มีผู้ต้องขังทั่วประเทศกว่า 680,000 คน มีกว่า 90,000 คนถูกศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดให้จำคุก ที่เหลือร้อยละ 42 ศาลปล่อยเพราะรอการลงโทษ รอการกำหนดโทษ และร้อยละ 58 ศาลสั่งปรับ กักขัง แสดงว่ามีคนติดคุกจริงๆ เพียงร้อยละ 16.5 แต่มีคนจนกี่เปอร์เซ็นต์ คนรวยกี่เปอร์เซ็นต์นั้นก็ไม่เคยมีงานวิจัยที่ไหน และในประเทศไทยก็ไม่มียืนยัน อีกทั้งไม่มีการนิยามคนจนคนรวยว่า แตกต่างกันตรงไหน ที่สำคัญเมื่อแยกไม่ออก ตรงนี้เราจะสรุปได้หรือไม่ คุกมีไว้ขังคนจน แต่แน่นอนที่สุด การจับคนรวยจับยาก เวลาเราให้ประกัน คนที่หนีประกันส่วนใหญ่คือคนรวย" ประธานศาลฎีการะบุ
อย่างไรก็ตาม ดูรายงานปี 2562 นับถึงเดือน ต.ค. มีผู้ต้องขัง 360,000 คน แยกแยะดังนี้ คือถูกขังในระหว่างช่วงการสอบสวน ก่อนฟ้องคดีกว่า 20,000 คน คิดเป็นร้อยละ 5.5 ถูกขังไว้ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นกว่า 10,000 คน คิดเป็นร้อยละ 2.8 ถูกขังในชั้นพิจารณาของศาลอุทธรณ์และฎีกากว่า 20,000 คน ร้อยละ 8 รวมๆ แล้วคือร้อยละ 16 ที่เหลือร้อยละ 84 คือคนที่ถูกขังเพราะคดีเสร็จเด็ดขาด ให้ต้องรับโทษจำคุก ซึ่งเป็นขั้นตอนชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาที่คนรวยหรือจนต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน ฉะนั้นการบอกว่านี่คือช่องว่างจำคุกเฉพาะคนจน ถามว่าใช่หรือไม่ ตนไม่ปฏิเสธหรือยืนยัน อยากให้มีการพูดด้วยตัวเลข พูดด้วยข้อมูลที่แท้จริง
สำหรับการขอปล่อยตัวชั่วคราว พบว่าปี 2560 มีการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวกว่า 220,000 ราย ศาลพิจารณาปล่อยตัวกว่า 210,000 ราย แสดงว่าปล่อยถึงร้อยละ 93.6 และขังอยู่ระหว่างพิจารณาเพียงร้อยละ 16.4 เท่านั้นเอง ถามว่าที่กล่าวกันว่าศาลขังไว้ระหว่างพิจารณาเกินความจำเป็นจริงหรือ ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง
ส่วนคนที่ยังถูกขังมีโอกาสจะได้ออกมาหรือไม่ ทางกรมราชทัณฑ์บอกเองว่าคุกไม่พอขังแล้ว รัฐธรรมนูญมาตรา 29 ก็บอกว่าถ้ายังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้สันนิษฐานว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตนเห็นว่าคำว่าผู้บริสุทธิ์นั้น เมื่อคนที่ถูกจับมายังถูกดำเนินคดีในชั้นสอบสวน ในชั้นศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องประทับฟ้อง อาจมองได้ว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถ้าศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วว่าผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน อย่างนี้ยังจะเรียกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่อีกหรือไม่ หันมาดูจากหลักการที่ว่า "คำพิพากษายังคงใช้ได้ จนกว่าจะถูกยกเลิกเพิกถอนเปลี่ยนแปลงโดยคำพิพากษาในภายหลัง" ก็ย่อมแสดงว่า คดีที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว ผ่านการสืบพยานชั่งน้ำหนักหักล้างต่อสู้กันอย่างเต็มที่แล้ว ต้องใช้บังคับได้
"ดังนั้นที่รัฐธรรมนูญยังพูดว่า ตราบใดถ้าศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเขาผิด ให้สันนิษฐานว่าเขาบริสุทธิ์ ในขณะที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วว่าคนคนนี้เป็นผู้กระทำความผิด ยังจะต้องปฏิบัติต่อคนผู้นี้เช่นเดียวกับหลักคิดตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าเอาหลักสามัญสำนึกมาใช้ มันจะใช้กันได้หรือไม่ เราได้มองในมุมของผู้เสียหาย เหยื่ออาชญากรรม เด็ก สตรี คนชรา ที่ถูกทำร้าย ข่มขืนฆ่าบ้างหรือไม่ เรื่องการคุ้มครองสิทธิ์ จึงจะมองด้านผู้ต้องหาจำเลยด้านเดียวไม่ได้ ต้องคำนึงถึงเหยื่ออาชญากรรมด้วย ผมเชื่อว่าศาลยุติธรรมจะไม่ปล่อยอาชญากรที่ปล้น ฆ่า ฆ่าข่มขืนอย่างแน่นอน ต่อให้รวยแค่ไหนก็ตาม" นายไสลเกษกล่าว
ประธานศาลฎีกากล่าวด้วยว่า ในยุคสื่อโซเชียล มีข่าวดรามาเกิดขึ้นชี้นำสังคมมากมาย ขอให้รับฟังข้อมูลที่แท้จริง ตัวอย่างเช่นคดีตายายเก็บเห็ดถูกจับ ใครจะรู้บ้างว่าที่แท้จริงเป็นคดีที่คนถูกจับเป็นนอมินีของคนรวยไปบุกรุกที่ดินกว่า 10 ไร่ มีการครอบครองไม้ต้องห้าม หรือคดีอาจารย์มหาวิทยาลัยฆ่าภรรยาเพราะมีเรื่องระหองระแหง ฝ่ายชายเกิดโมโหทำร้ายภรรยาด้วยของที่อยู่ในถุงกอล์ฟ สื่อเสนอข่าวกันเป็นสิบวัน แรกๆ ก็มีข่าวว่าอาจารย์ตีเมียด้วยอุปกรณ์หัวไม้ 1 ต่อมากลายเป็นตีด้วยหัวไม้ 3 ต่อมากลายเป็นหัวเหล็ก 7 พอศาลพิพากษากลายเป็นว่าจำเลยตีด้วยร่ม ศาลสั่งสืบเสาะประวัติพบว่าครอบครัวขอให้ศาลรอการลงโทษ เพราะสามีภรรยามีลูกเป็นเด็กเล็กสองคนที่เขาต้องเลี้ยงหลังภรรยาถูกตีตาย ถ้าติดคุกใครจะเลี้ยงลูก ศาลจึงรอลงอาญาให้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |