'แก้วสรร'ออกบทความ'ผีไหน..น่ากลัวที่สุด?'ส้มหวานทุ่มเกิน200ล้านสร้างความโลภหลงจงเกลียดจงชัง


เพิ่มเพื่อน    

5 พ.ย.62- นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เขียนบทความพิเศษเรื่อง     “ผีไหน..น่ากลัวที่สุด?” !!!!! มีเนื้อหาระบุว่า

ถาม    อาจารย์จะตอบเขาว่า..ผีไหนน่ากลัวที่สุดครับ?
ตอบ     “ฮัลโลวีน” มันมีขึ้นมาให้คนแต่งเป็นผี แล้วได้คิดขึ้นมาว่า “ผี”คือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง.. ฮัลโลวีนจึงเป็นวันแห่งปัญญา  
วันอย่างนี้เราควรตั้งคำถามที่ทำให้หายโง่กันดีกว่า ว่า  “สิบกว่าปีมานี้ พอเลือกตั้งทีไรทำไมเราเกิดขัดแย้งกันมาตลอดทุกทีไป ?”  ก่อนหน้านี้การเมืองมันไม่เคยแบ่งสังคมเป็นขั้วได้อย่างนี้เลย   
คำถามแบบองค์รวมอย่างนี้...ถ้าตอบได้ เข้าใจได้  ก็จะได้ไม่ต้องกลัวผีปีศาจอะไรกันอีก

ถาม    อาจารย์หาคำตอบได้แล้วหรือ?
ตอบ    หลังปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ แล้ว   ทั้ง “วิธีคิด” และ “วิธีทำ” ทางการเมืองของไทยเราเปลี่ยนไปมาก   อำนาจพรรคการเมืองที่รัฐธรรมนูญ ๔๐ สร้างเสริมไว้  ได้เกื้อหนุนเป็นโอกาสให้ เสี่ยใหญ่ยุคโลกาภิวัฒน์ ลงทุนใช้เงินและเทคโนโลยี เข้า ประกอบการแสวงหาอำนาจทางการเมืองอย่างเต็มสติกำลัง  โดยระลอกแรกของเสี่ยชินวัตรนั้น มุ่งใช้อำนาจมาหารายได้เป็นกำไรจากการลงทุน   ส่วนระลอกของเสี่ยธนาธรก็มุ่งหาเรื่อง คือใช้ฐานอำนาจทางการเมืองต่อรองกับอำนาจหลักในสังคมไทย เป็นสำคัญ   
ความเคลื่อนไหวสองระลอกนี้แรงและเร็วมาก  จนอำนาจหลักตื่นตัวออกมาสกัดกั้นหนักและยืดเยื้อขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งโดยรัฐประหารและโดยออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับสืบอำนาจ

ถาม    พวกเสี่ยใหญ่ เขาใช้เทคโนโลยีอะไรกันบ้าง จึงใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญกอบโกยอำนาจได้ทันหูทันตาขนาดนี้
ตอบ    เขาใช้เงินหนักมาก สมัยตั้งพรรคไทยรักไทย ผมอยู่ คตส. ตรวจพบเงินลงทุนกว่า ๔,๐๐๐ ล้านบาท   มาพรรคอนาคตใหม่นี่ก็ต้องใช้เงินตั้งสาขาและส่งคนลงแข่งเลือกตั้งทุกเขต  จ้างผู้ชำนาญการรณรงค์ในโลกโซเชียล และทีมงานด้วยเงินก้อนใหญ่เกิน ๒๐๐ ล้าน แน่นอน   
มาถึงการบริหารจัดการก็สร้างพรรคและจัดตั้งสาขานั้น เขาก็ทำได้ทั่วถึงราวกับร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น  วางสินค้าทางจิตวิทยาการเมืองได้หลากหลาย ทั้งความโลภ ความหลง และความจงเกลียดจงชัง  
ปัจจัยหลักและการจัดตั้งเหล่านี้เมื่อพร้อมหน้าและได้ปริมาณ ก็สามารถเอาชนะวิธีคิดวิธีทำเดิมๆ ของพรรคการเมืองเดิมๆ  เช่นชาติไทยและประชาธิปัตย์ไปได้
ครั้นได้อำนาจมาแล้วก็มากพอ แรงพอที่จะเดินไปสู่การหากินหรือหาเรื่องได้ทุกจังหวะ โดยไม่ต้องหวั่นเกรงใคร   ความขัดแย้งในบ้านเมืองจึงเป็นผลที่เกิด เช่นปัจจุบัน

ถาม    ในความขัดแย้งนี้..ใครคือฝ่ายประชาธิปไตย?
ตอบ    ไม่มีใครเลย...ประชาธิปไตยต้องมี “ส่วนรวม”มีความสมานฉันท์กันก่อน เพื่อจะได้ใช้เหตุใช้ผลมาตัดสินในงานดูแลบ้านเมือง    แต่เมื่อเล่นการเมืองผิดครรลองจนสิ้นความสมานฉันท์ไม่มีส่วนรวมไม่มีถูกมีผิดแล้ว สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ก็จะสิ้นค่า ใช้เป็นข้ออ้างได้เท่านั้นว่า “มี”ประชาธิปไตย   แต่ “มี”แล้วมันก็ไม่ “เป็น”ประชาธิปไตย    เพราะผิดเพี้ยนไปเสียหมด ทั้งความคิด ความเคลื่อนไหว และระบบ
มันเหมือนกับเราไปจดทะเบียนสมรสจนได้ชื่อว่า “มี”เมีย  แต่ลงท้ายกลับผิดเพี้ยนกลาย “เป็น”แม่ไปเสียได้  ยังไงยังงั้นเลย

ถาม    แล้ว..ใครคือฝ่ายเผด็จการ?
ตอบ    เรายังไม่มีเผด็จการเต็มรูปแบบเหมือนสมัยจอมพลสฤษดิ์  แต่ทุกฝ่ายยังเป็นเผด็จการแบบหลบในอยู่ทั้งนั้น   ทั้งในพรรค ในสภา และในสังคม   สมัยรัฐบาลทักษิณ ๒ นั้น เป็นเผด็จการในเสื้อคลุมประชาธิปไตยอย่างชัดเจน   แม้จะ “มี”ประชาธิปไตย  แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับ “เป็น”เผด็จการมากกว่า ประยุทธ์ ๑ ที่ไม่ “มี”ประชาธิปไตยเสียอีก 

ถาม    แล้วสมัยประยุทธ์เป็น ประชาธิปไตยในเสื้อคลุมเผด็จการหรือ?
ตอบ    เป็นเผด็จการที่สับสนละล้าละลัง ทำอะไรไม่ถูกเสียมากกว่าครับ

ถาม   อะไร...รอเราอยู่ข้างหน้า
ตอบ    ไม่ใช่ผีแน่นอน...ทุกวันนี้ฟังเพลง Bad Moon Rising ไปพลางก่อนก็แล้วกันครับ.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"