พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2 พ.ศ.2562 ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป เป็นจังหวะเดียวที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน 7 พรรค คือ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคพลังปวงชนไทย ผนึกกำลังล็อกเป้า เตรียมจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประยุทธ์แน่นอน

                บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ถูกล็อกเป้าจากฝ่ายค้าน อันเนื่องจากเป็นนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร เป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีให้เข้ามาทำงาน ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ หากมีการบริหารงานบกพร่อง ผิดพลาด ย่อมต้องส่งผลสะท้อน ย้อนกลับไปยังนายกรัฐมนตรีอยู่ดี

                ในส่วนของรัฐมนตรี แม้เวลานี้พรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่เป็นแกนหลักในการเก็บข้อมูล และที่จะยื่นอภิปรายยังไม่ยอมแพลม เปิดออกมาว่ารัฐมนตรีรายใดอยู่ในข่ายที่จะถูกอภิปรายบ้าง มีเพียงการคาดการณ์ รัฐมนตรีที่น่าจะโดนล็อกเป้า โดยเลือกรัฐมนตรีจากค่ายพรรคพลังประชารัฐ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลเลือกเฉพาะพรรคคู่รักคู่แค้น

                นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ถือ บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ขณะที่รัฐมนตรีในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อยู่ในข่ายที่กำลังถูกล็อกว่า จะพุ่งไปยังรัฐมนตรีว่าการ หรือรัฐมนตรีช่วยจากพรรคพลังประชารัฐดี

                พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นการใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย ที่พรรคฝ่ายค้านมีสิทธิ์ที่จะเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ แต่ในเรื่องที่จะมัดรัฐมนตรี และกระทบไปถึงเป้าใหญ่อย่างนายกรัฐมนตรี ที่จะทำให้ รัฐบาลเสียอาการได้ ต้องมีข้อมูลที่แน่น มีใบเสร็จเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลในการบริหารงาน การทุจริต ประพฤติมิชอบ ถึงจะสร้างแรงกระเพื่อม แรงสั่นสะเทือนไปถึงนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รัฐบาล ไปจนถึงนักการเมืองในซีกพรรคพลังประชารัฐ รวมไปถึง ยังจะได้แนวร่วมเพิ่มจากประชาชน โลกออนไลน์ ที่จะช่วยกระทุ้ง ตอกลิ่มรัฐบาลอีกทาง ซึ่งย่อมจะส่งผลถึงตอนโหวตไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ที่ถึงแม้จะได้คะแนนโหวตไว้วางใจ แต่ในแง่เครดิต ความน่าเชื่อถือ ถือว่าสอบไม่ผ่านในสายตาประชาชน ดีไม่ดีอาจจะถูกปรับพ้น ครม.ในเวลาต่อมาก็เป็นได้

                ข้อมูลหลักฐาน ใบเสร็จมัดผู้กระทำผิด ถือเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งในเวลานี้พรรคเพื่อไทยให้น้ำหนักไปในขั้นเตรียมการ โหมกระพือข่าว เล่นเกมสงครามจิตวิทยาเพียงอย่างเดียว

                น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งพรรคมีข้อมูลการบริหารงานรัฐบาลที่บกพร่อง ไร้ประสิทธิภาพ แม้จะบริหารงานมาเพียง 3 เดือนเศษ ก็พบร่องรอยบางประการที่อาจจะมีการทุจริตคอร์รัปชันจากข้อมูลที่ได้มา

                 เรามีความพร้อมที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ขณะนี้พรรคเพื่อไทยทำงานร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในส่วนของรายละเอียดวันอภิปราย การอภิปรายจะยื่นอภิปราย ครม.ทั้งคณะหรือบุคคล รัฐมนตรีคนใด กระทรวงใดบ้าง คงต้องรอการหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอีกครั้ง แต่ยืนยันว่า ข้อมูลที่เราได้มามีรัฐมนตรีหลายคนเข้าข่ายถูกอภิปราย เนื้อหาที่จะอภิปราย ตอนนี้ยังไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นใคร กระทรวงใดบ้าง และอาจจะมีบางคนที่คาดไม่ถึงรวมอยู่ด้วย

                สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน และ ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย หนึ่งในขาประจำที่มักถูกวางคิวให้พูดในสภาฯ บอกว่า การเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล อาจจะมีคำถามตามมาว่า พรรคฝ่ายค้านยื่นเร็วไปหรือไม่ คงต้องบอกว่า รัฐบาลประยุทธ์ อยู่ในอำนาจมา 6 ปีแล้ว ไม่ใช่อยู่มา 3 เดือน เราไม่อยากให้คนผิดลอยนวล

                ข้อมูล หลักฐาน ใบเสร็จ เวลานี้มีเพียงคำขู่จากพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า มีไม้เด็ด และกำลังหารือถึงวันยื่นญัตติ ตั้งใจวางตารางอภิปรายที่อยากให้อยู่ในช่วง 17-19 ธ.ค. คือช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด ที่ก่อนหน้านั้นก็ยังพอมีเวลา เร้าความสนใจ ฉายหนังตัวอย่างไปถึง รัฐมนตรีที่อยู่ในข่ายถูกอภิปราย และหลังจากวันอภิปราย ยังมีเวลาเก็บตก ประเมินผล ไปจนถึงขั้นวางแผนฟ้องประชาชนผ่านโลกออนไลน์ ตอกย้ำเปิดแผลจากการบริหารงานผิดพลาด

                อย่างที่ทราบกัน การอภิปรายในส่วนที่เป็นเรื่องสำคัญ ข้อมูล หลักฐาน ที่จะเป็นใบเสร็จมัดรัฐมนตรีให้ดิ้นไม่หลุด ถือเป็นหัวใจหลัก เพราะหากท้ายสุด หากฝ่ายค้านยังมุ่งเป้าเล่นการเมือง ตีกินทางการเมือง เหมือนเวทีรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เวทีก่อนโหวตนายกฯ เวทีอภิปรายถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน ที่ผ่านมา ฝ่ายค้านมือใหม่ ขุนพลอนาคตใหม่ยังเก็บแต้ม เตรียมข้อมูล สร้างความน่าเชื่อถือได้ดีกว่าเพื่อไทย ที่ยังติดกับการเมืองเดิมๆ ขอให้มีช่องทาง มีเวทีให้หลอกด่า ได้โชว์ตัวออกทีวี สาละวนกับวาทกรรม โวหารตีกินทางการเมือง เพียงอย่างเดียว.