เดินหน้าเก็บขยะอย่างต่อเนื่องกับ “โครงการเก็บรักษ์” สำหรับนักร้องหนุ่ม โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ที่ล่าสุดก็ได้รับตำแหน่ง “ทูตแห่งมหาสมุทรเพื่อความยั่งยืนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” จากองค์การสหประชาชาติเพื่อมหาสมุทร แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่ว่าจะรางวัลไหน ถ้าเปลี่ยนประเทศไทยให้ปัญหาเรื่องขยะดีขึ้นไม่ได้ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร พร้อมลั่นวาจาว่า “อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่มาเก็บขยะกับผมดู ผมว่ามันน่าจะมีอะไรดีขึ้น”
“เดือนกันยายนที่ผ่านมาเราก็ไปที่บางกระเจ้า เพราะมันเป็นปลายน้ำที่รองรับขยะจากต้นน้ำ ชาวบ้านเขาเก็บยังไงก็เก็บไม่หมด เพราะเก็บวันนี้พรุ่งนี้เวลาน้ำขึ้นมันก็มาอีก แล้วตรงนั้นมันเป็นป่าชายเลน พอป่าชายเลน หรือต้นไม้ ป่าโกงกางตรงนั้นถูกทำลาย ขยะมันก็ไหลลงทะเลโดยตรงเลย เราเลยไปเก็บขยะและไปแลกเปลี่ยนความรู้กับน้องๆนักเรียนที่บางกระเจ้า 2-3 โรงเรียน
สถานที่ที่เลือกส่วนใหญ่เป็นที่ท่องเที่ยวเพราะคนอยู่ที่ไหนเยอะขยะก็มักจะเยอะ แล้วก็ดูจากที่แฟนๆส่งมาด้วย อย่างแฟนคลับที่เป็นคนระยอง เขาอยู่แถวหาดแม่รำพึง ขยะเยอะมาก เขาเก็บกับลูกเขาไม่ไหว เราก็ไม่อยากให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนทำแค่สองคน เราก็ไปเก็บกับเขาเลย ทั้งไปช่วยเขาและไปเป็นกำลังใจให้เขาด้วย พอเราไปเราก็ดีใจที่หน่วยงานหลายๆหน่วยมาช่วยกัน ทั้งเทศบาล ทั้งน้องๆนักเรียน ครูบาอาจารย์ละแวกนั้นก็มาช่วยกัน”
นี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ สำหรับนักร้องหนุ่ม นี่คือการปลูกจิตสำนึก ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
“เป้าหมายหลักของเราเลยคือเพื่อแผ่นดินเรา นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราได้ยินผู้ใหญ่พูดมาตั้งแต่เด็กเสมอว่ารักแผ่นดิน รักประเทศชาติ รักลูกหลาน อยากเห็นประเทศเราเจริญก้าวหน้า ไม่ว่าจะยุคไหน ไม่ว่าจะคิดต่างกันยังไง แต่ทุกคนมีเป้าหมายเหมือนกันหมดเลย แต่ทำไมขยะประเทศเราถึงอยู่อันดับที่ 6 ของโลก และถ้าเฉลี่ยขยะเป็นชิ้นต่อจำนวนคนในประเทศเราอยู่อันดับ 1 ของโลกนะ ดังนั้นผมคิดว่ามันถึงเวลาที่คนเรานอกจากพูดแล้วคือต้องทำ ตอนนี้คนพูดมีเยอะแล้ว แต่คนทำมีน้อย
ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุนะ ผมมองว่ามันคือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยซ้ำ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่เราได้เก็บขยะของคนอื่น การที่ผมได้พาเด็กๆไปเก็บขยะของคนอื่น หรือการที่มีประชาชนหลายร้อยหลายพันคนมาร่วมกันเก็บในแต่ละครั้ง เวลาที่เราจะทิ้งขยะเองเราจะคิดมากขึ้นนะ จากเมื่อก่อนเราสูบบุหรี่เราอยากจะทิ้งกิ้นบุหรี่ตรงไหนเราก็ทิ้ง เราเข้าห้างเข้าร้านสะดวกซื้อเรารับถุงมาแบบไม่ได้คิดอะไรเลยแต่พอเราได้ไปเก็บขยะของคนอื่นเราคิดมากขึ้น อันดับแรกเลยคือเหมือนเป็นการปลูกจิตสำนึก อันดับสองคือขยะจะค่อยๆหมดไปด้วย ตอนนี้ 10 เดือน เราไปมาประมาณสิบกว่าที่แล้ว เราจะจัดใหญ่เดือนละครั้ง ครั้งละ 2-3วัน อย่างเราไปชะอำวันนึงอีกวันเราก็ไปหัวหิน หรือพื้นที่ใกล้เคียง ถ้าเฉลี่ยขยะตอนนี้ผมว่าได้ถึง 30 ตัน”
“ไม่อยากจะว่าใคร คนว่ากันเยอะแล้ว เอาเวลามาทำประโยชน์ดีกว่า”
“ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวเรื่องขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกเอาเข้ามาในประเทศนั้นผมก็ได้ยินมาอยู่บ้าง ผมถึงได้บอกไงว่ามันไม่ใช่เพิ่งมามีหรอก มันมีมานานแล้ว แต่เราตื่นตัวกันมากขึ้น รวมถึงยุคโซเชียล ความลับมันแทบจะไม่มีแล้ว ดังนั้นเราถึงได้แต่บอกกับทุกคนว่าใครทำอาชีพอะไร ใครรับผิดชอบตรงส่วนไหนก็ทำให้เต็มที่ ถ้าเรารักประเทศเราจริง เรารักลูกหลานเราจริง เราจะรับขยะเหล่านั้นเข้ามาไหม นอกเสียจากว่าเรารักตัวเอง เราอยากได้เงินเขา ผมไม่อยากจะร้องขอ ไม่อยากจะว่าใคร คนว่ากันเยอะแล้ว ระหว่างที่คนเถียงกันเราเอาเวลานั้นมาทำประโยชน์ดีกว่า คนเราชอบไม่เหมือนกันได้คิดไม่เหมือนกันได้แต่เราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเราเลือดเดียวกัน เรายืนอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน เราใช้อากาศเดียวกันในการหายใจ ดังนั้นอะไรที่มันเป็นประโยชน์ผมว่าเราลงมือทำได้เลย ผมถึงบอกว่ามันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ นี่แหละคือต้นเหตุ เราไม่ได้ต้องการหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง เราไม่ได้ต้องการอาชีพใดอาชีพหนึ่ง เราต้องการคนไทยทุกคน ผมเชื่อว่าถ้าเรามีใจเดียวกัน ช่วยเหลือกัน เราอยู่ได้”
มนุษย์ไม่สามารถต่อรองกับธรรมชาติได้ ฉะนั้นเราต้องทำเดี๋ยวนี้!
“ตอนแรกผมไม่คิดว่าโครงการเก็บรักษ์มันจะไปไวขนาดนี้ ตอนแรกกะว่าจะเก็บคนเดียวเพราะมันอึดอัด ตอนนั้นมันเป็นช่วงที่มีฝุ่นพิษ PM2.5 เราเห็นภาพเด็กนักเรียนต้องมาใส่หน้ากากไปโรงเรียน แล้วเราก็มามองว่านี่ลูกหลานเราต้องมาเจอะไรแบบนี้เหรอ โครงการเก็บรักษ์ คงไม่ไปไวขนาดนี้หรอกถ้าพี่ๆสื่อไม่ช่วยผม แต่พี่ๆช่วยลงข่าวมันทำให้คนได้เห็นเรื่องราวต่างๆและตื่นตัวกันมากขึ้น แต่อย่างที่บอกมันยังไม่พอ
ลองคิดดูง่ายๆตั้งแต่เราเด็กจนโตมามีปีไหนอากาศดีขึ้นไหม มีแต่ร้อนขึ้นทุกปี เมื่อก่อนตอนผมอายุ 8-9 ขวบอย่างน้อยหน้าหนาวต้องมี 2-3 อาทิตย์ แต่เดี๋ยวนี้หน้าหนาวมีแค่ 1-2 วัน ขนาดในยุคเรามันยังแย่ขนาดนี้เลย แล้วถ้าอีก 5-10 ปีล่ะ เราได้ยินมาตั้งแต่เด็กว่ารักชาติ รักลูกหลาน เลยคิดว่านอกจากการบ่นเราจะช่วยอะไรได้บ้าง ก็เลยมาเก็บขยะ ผมดีใจที่หน่วยงานหรือห้างร้านอย่างแม็คโคร บิ๊กซี ที่โทรมาแล้วบอกว่าทางเราเห็นสิ่งที่คุณทำเราลดการแจกถุงพลาสติกมาแจกเป็นลังกระดาษแทน เราก็รู้สึกดีใจ และตอนนี้ผลสำรวจออกมาว่าในท้องของเรามีไมโครพลาสติกกันอย่างน้อยสองหมื่นชิ้นนะ ที่มันปนเปื้อนอยู่ในกุ้ง หอย ปู ปลา ถ้าเราไม่กินลงไปก็อยู่ในน้ำ หรือเผาก็อยู่ในกาศเป็น PM2.5สูดเข้าไป และที่อยากให้ขยะมันลดจำนวนให้มากที่สุดเพราะเรารอไม่ได้ เราต่อรองกับธรรมชาติไม่ได้ว่าปีหน้าอย่าร้อนได้ไหม น้ำเดี๋ยวค่อยท่วมได้ไหม ดังนั้นอะไรที่เราทำได้เราต้องทำเลย ทำให้ได้มากที่สุด”
ประเทศญี่ปุ่นก็เคยประสบปัญหาเดียวกับเรา แต่เขาเปลี่ยนได้เพราะจิตสึกนึกคนในชาติ...
“ที่ผมไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นมา คือเขาก็เจอปัญหาแบบเราเมื่อประมาณ 30-40ปีที่แล้ว แต่เขาเริ่มจากการปลูกจิตสำนึก คือเขาช่วยกัน เขามีความเป็นชาตินิยมพอสมควร ที่ญี่ปุ่นหาถังขยะยากมากเพราะเขาเก็บขยะไปทิ้งที่บ้าน และที่สำคัญคือทุกคนมีจิตสำนึกที่จะทำเพื่อแผ่นดินเพื่อลูกหลานจริงๆ โรงงานขยะที่ทำขึ้นมาเขาก็นึกถึงแผ่นดินจริงๆไง เมื่อ 15ปีที่แล้ว เขามีโรงงานแบบนี้ และใช้ทุนในการสร้างโรงงานนึงประมาณ 9พันกว่าล้านบาท เวลาเอาขยะไปเผามันจะมีปล่องที่เอาไว้กรองควันพิษ มีตัวเลขบอกว่าค่าพิษมีเท่าไหร่ ถ้ามันเป็นศูนย์ถึงจะสามารถปล่อยออกไปได้ ชาวบ้านก็มั่นใจและไม่ต่อต้าน และพวกขี้เถ้าหรือตะกอนเขาก็นำไปทำเป็นอิฐบล็อกหรือคอนกรีตปูถนน มันมีกระบวนการแยกไปทำประโยชน์ต่างๆ
แต่ที่ผมอยากให้ปลูกจิตสำนึกก่อนเพราะต่อให้บ้านเรามีโรงงานแบบนี้ เราก็จะไม่แยกขยะกันอยู่ดี ดังนั้นก่อนที่เราจะไปมีโรงงานพวกนี้เราต้องมีใจเดียวกันก่อน นี่เป็นทางเดียวที่จะแก้ได้ ถึงจะยากแต่เราต้องทำ คนบอกว่าถึงแยกไปแต่เขาก็เทรวมกันเวลามาเก็บ แต่ถ้าเราแยกขยะให้ถูกประเภทแต่ละประเภท พนักงานเก็บขยะเขาก็เอาไปขายได้นะ ที่เราเห็นเป็นถุงห้อยๆข้างรถขยะคือเขาแยกไปขายต่อ แต่ส่วนที่มันยังไม่รองรับร้อยเปอร์เซ็นต์เราเข้าใจได้ แต่อย่างน้อยๆคือเราทำเต็มที่หรือยัง”
เงินไม่ใช่การแก้ปัญหา...อยากให้ผู้ใหญ่ในประเทศลองมาร่วมกันเก็บขยะกับผม ผมว่าอาจจะมีอะไรดีขึ้น!
“ที่ผมไม่อยากรับเงิน หรือไม่อยากระดมทุนใดใดเพราะผมรู้สึกว่าผมยังทำไหว ผมเล่นละคร ผมเล่นคอนเสิร์ต ผมแบ่งเงินมาทำตรงนี้ได้ แต่ถ้าอะไรที่มันใหญ่เกินตัวผมไปจริงๆ ผมอาจจะต้องขอแรงพี่ๆและคนไทยทุกคน แต่ตอนนี้ผมยังทำไหว แต่ในเรื่องที่ว่าอยากให้หน่วยงานไหนมาทำอะไรไหม ผมคงไม่ไปร้องขอ แต่อยากให้มาทำเลยมาช่วยกัน คือถึงให้เงินเรามาสมมติสามแสน มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนชุมชนนั้นให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นได้หรอก แต่ถ้ามาช่วยกันเก็บ แล้วคนไทยที่รวยมากๆเขาเก่งอยู่แล้วเขาฉลาดอยู่แล้ว เขาจะได้มาคิดต่อว่าจะทำยังไงให้ตรงนั้นมันดีขึ้น ทำยังไงให้มันสะอาดขึ้น มันไม่ใช่เรื่องเงิน ผมว่าลองให้ผู้หลักผู้ใหญ่มาเก็บขยะกับผมดู ผมว่ามันน่าจะมีอะไรดีขึ้น
เราทำตรงนี้เราไม่ได้คิดว่าเราจะได้อะไร หรือทำแล้วคนจะพูดถึงเราแบบไหน อย่างเราได้รับตำแหน่งทูตแห่งมหาสมุทรเพื่อความยั่งยืนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของยูเอ็น ผมยังออกไปพูดเลยว่าตำแหน่งนี้มันคงไม่ได้มีประโยชน์อะไรถ้าเกิดว่าบ้านผมไม่ดีขึ้น ความสำคัญคือเราจะหลุดจาก 1 ใน 10 ได้ไหมใน 3-5 ปีนี้ จริงๆผมต้องการให้ประเทศเราเป็น 1 ใน 10 ของประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลกด้วยซ้ำ เพราะผมมองเห็นจริงๆ ผมเชื่อด้วย เรามีทะเลที่สวยงาม ภูเขา ป่า น้ำ เรามีขนบธรรมเนียมประเพณี ทำไมคนต่างประเทศจะไม่อยากมาประเทศเรา ถ้ายังไม่มีจิตสำนึก ถ้ายังไม่ช่วยเหลือคน ไม่กล้าที่จะมาช่วยกัน ไม่ต้องไปหวังว่าไอ้โรงงานขยะนั้นจะมีหรอก เพราะต่อให้มีมันก็คอรัปชั่น แต่ถ้าทุกคนลองมาเก็บขยะ ตากแดด ไหล่ไหม้ ตัวดำด้วยกันสิ ผมว่าหน้าลูก หน้าหลาน หน้าพ่อ หน้าแม่เรามันจะลอยขึ้นมาเอง”
“ผมจะทำเต็มที่ อย่างน้อยวันนึงถ้าลูกถามผมก็จะได้ตอบลูกผมว่าพ่อทำเต็มที่แล้ว”
“การเก็บขยะมันไม่ได้สนุกหรอก มันทั้งร้อนแดด ทั้งเหม็น แต่อย่างน้อยๆวันนึงถ้าลูกผมถามผมว่า ในยุคของพ่อทำไมถึงไม่ช่วยกัน ทำไมถึงปล่อยให้ประเทศเรา โลกเราเป็นได้ถึงขนาดนี้ ในยุคที่พ่อยังได้รู้จักกับปลาวาฬ ปลาโลมา หมีขาว พยูน ถึงวันนี้มันจะลดลงไปมากแล้วก็ตาม ผมก็จะได้ตอบลูกผมว่าพ่อทำเต็มที่แล้วลูก แต่พ่อแพ้ พ่อเปลี่ยนไม่ได้ พ่อทำแล้ว ผมจะได้ไม่คาใจ
ส่วนอนาคตโครงการเก็บรักษ์ เดี๋ยวผมคงต้องขอให้พี่ๆสื่อมวลชนมาช่วยผมแน่นอน ผมคงไม่หยุด เรามีแผนงานแล้วว่าจะทำอะไรบ้าง เราต้องแลกเปลี่ยนความรู้กับน้องๆด้วย เพราะเรื่องบางเรื่องผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อย่างเรารู้ว่าสัตว์ทะเลกินพลาสติกแต่เราก็เพิ่งรู้ว่าสัตว์บกก็กินเหมือนกัน กวางตาย อีกาตาย ลิงตาย ดังนั้นเราก็มาช่วยกันแลกเปลี่ยน ตัวผมเองไม่ใช่นักอนุรักษ์ ผมเป็นแค่คนไทยคนนึงที่มีเลือดเดียวกันกับคนไทยทุกคน ผมก็เลยอยากจะมาชวนคนไทยทุกคนทำ ประเทศเรามันจะดีขึ้นได้ก็จากคนไทยด้วยกันนี่แหละ คนอื่นไม่มีใครมาใส่ใจเราหรอก ต่างชาติเขามาเที่ยว มาจ่ายเงิน มาใช้ชีวิตของเขาให้เต็มที่ แต่เราต่างหากที่ต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้ต่อไป”
ขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม mootono29
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |