เมื่อวันที่ 3 พ.ย.เวลา 09.00 น. นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ เปิดเผยว่าในวันที่ 4 พ.ย.นี้ ศาลอาญานัดไต่สวนกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ฟ้องหมิ่นประมาทตน จากการแถลงข่าวเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ โดยพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อ้างว่าเป็นการกล่าวหา 7 พรรคฝ่ายค้านไม่จงรักภักดี ตนขอยืนยันว่าเป็นการบิดเบือนคำแถลงของตน เพราะไม่ได้มีส่วนไหนที่ระบุถึงพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงสภาพการเมืองในขณะนั้นและแสดงจุดยืนว่าจะอยู่ข้างฝ่ายที่ปกป้องรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการตัดสินใจร่วมรัฐบาลเกิดจากคณะกรรมการบริหารพรรค ได้ตระเวนขอความเห็นทั่วทั้งประเทศแล้ว ปรากฏว่าสมาชิกพลังธรรมมากกว่า 90 % ทั่วทั้งประเทศ มีความเห็นชอบที่จะให้พรรคพลังธรรมใหม่เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ด้วยเหตุผลยึดเอาผลประโยชน์ของชาติมาก่อนผลประโยชน์ของพรรค ดังนั้น ในภาวะที่มีคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งปริ่มน้ำ ยังไม่มีรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นได้ ก่อให้เกิดผลเสียต่อประเทศ พรรคจึงตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ที่เห็นว่ามีโอกาสที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ค่อนค้างจะแน่นอน

"ในวันนั้นผมแถลงด้วยว่าการต่อสู้ทางการเมืองในครั้งนี้ อาจจะมองในแง่หนึ่งได้ว่า เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายเอาสถาบัน กับไม่เอาสถาบัน ดังนั้นสมาชิกพรรคของเราจึงมีมติให้เราเลือกข้างที่รักษาสถาบัน ผมไม่ได้กล่าวหาพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น แต่พูดในภาพรวมของสถานการณ์การเมือง เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต ซึ่งพร้อมที่จะต่อสู้ในชั้นศาล โดยไม่มีความกังวลใด ๆ และเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์นำเรื่องนี้มาฟ้องเป็นคดีรกศาล " น.พ.ระวี กล่าว

ส่วนกรณีที่ในคำฟ้องมีการกล่าวหาว่าพยายามเอาใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เพราะกกต.คำนวณให้ได้เป็น ส.ส. ทั้งที่พรรคพลังธรรมใหม่มีคะแนนเพียง 35,099 คะแนน ต่ำกว่าคะแนน 71,065 ที่พึงมี ส.ส.นั้น นพ.ระวี กล่าวว่า เป็นการใส่ร้ายเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของพล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เพราะการคำนวณคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นหน้าที่ของ กกต.ซึ่งปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ฝ่ายบริหารไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น การกล่าวหา เช่นนี้จึงเป็นการบิดเบือนประเด็นให้ร้ายกับตน

เมื่อถามว่า เรื่องนี้พลังธรรมใหม่จะฟ้องกลับหรือไม่  นพ.ระวี กล่าวว่า หน้าที่สส.คือการแก้ปัญหาของประเทศ ตนไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องไร้สาระแบบนี้  เอาเวลาไปช่วยแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนดีกว่าปล่อยเป็นเรื่องฝ่ายกฎหมายพรรคตัดสินใจว่าจะฟ้องกลับหรือไม่