ตู่ฟันธงทอนหมดอนาคต


เพิ่มเพื่อน    

 "วิษณุ" ฟันธงนำเงินตัวเองกระจายให้ผู้อื่นบริจาคพรรคการเมือง ถือเป็นนิติกรรมอำพราง มีความผิด "จตุพร" คอนเฟิร์ม คดีโอนหุ้นสื่อ ดูกระดานการเมืองแล้วเป็นอื่นไม่ได้ "ธนาธร" พ้นสภาพ ส.ส. ยุบพรรคตามมาเป็นรวงผึ้ง ขณะที่อดีตส้มหวานลากไส้ต่อ ถ้า "ทอน" เป็นนายกฯ บ้านเมืองอาจเละกว่า "ลุงตู่" อีก

    นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมีการนำเงินตัวเองไปกระจายให้บุคคลอื่นบริจาคให้พรรคการเมือง เพื่อหลบเลี่ยงกฎหมายที่กำหนดให้แต่ละคนบริจาคได้ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี ถือว่าผิดหรือไม่ ว่าถ้าพบอย่างนั้นและเป็นอย่างนั้นมันก็ผิด เป็นนิติกรรมอำพราง มันแสดงให้เห็นว่าเป็นเจตนาเลี่ยง 
    ขณะที่โทษร้ายแรงหรือไม่นั้น รองนายกฯ บอกว่า จำไม่ได้ ไม่เคยดูเลยเรื่องนี้ ส่วนกรณีคู่สมรสที่บริจาคให้พรรคการเมือง จะถือเป็นคนเดียวกันหรือไม่นั้น ไม่ทราบ จึงไม่กล้าตอบ
    ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดีโอนหุ้นสื่อฯ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ วันที่ 20 พ.ย. ว่ามั่นใจว่าจากการดูกระดานการเมืองนี้ คิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากนายธนาธรจะพ้นสภาพจากการเป็น ส.ส. ดังที่ตนเคยโดนในมาตราเดียวกันแต่คนละวงเล็บ 
    "พ้นสภาพจาก ส.ส.แน่ๆ แต่จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองกี่ปีนั้น อยู่ที่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้ในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ยังไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับการยุบพรรค แต่หลังจากนั้นก็คงไม่รอด เรื่องแบบนี้เมื่อโดนครั้งหนึ่งก็มักจะตามมาเป็นรวงผึ้ง" ประธานนปช.กล่าว
    ขณะที่พรรคอนาคตใหม่ยังคงอยู่ในวิกฤติต่อไป โดย น.ส.ธัชญา จวงสันทัด อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 พรรคอนาคตใหม่ จ.ระยอง โพสต์ข้อความบนเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว Tadchaya Yah Yha Chuangsantad ระบุว่า ถ้าพ่อของฟ้าได้เป็นนายก  บ้านเมืองอาจเละกว่าลุงตู่อีก เชื่อเหอะ..พี่เจอประสบการณ์อันเจ็บปวดมาแล้ว
       ทั้งนี้ น.ส.ธัชญาเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ที่ไปยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา
    ส่วนว่าที่ ร.ต.ฉัตรชัย แก้วคำปอด อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 จังหวัดอุบลราชธานี พรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก ระบุว่า..."การเดินทางของพรรคอนาคตใหม่" รถโดยสารคันนี้ชื่ออนาคตใหม่ รับ-ส่งผู้คนไปโรงเรียนประชาธิปไตย แม้การเดินทางจะสามารถไปได้หลายทางอย่างไม่ลำบาก แต่หลายคนก็พร้อมใจและยินดีที่จะร่วมเดินทางไปกับรถโดยสารคันนี้ ถึงแม้จะเป็นรถคันเล็กๆ พื้นที่นั่งไม่เพียงพอ แม้กระทั่งการเดินทางมีความเสี่ยงต่อชีวิตและร่างกายก็ตาม บางคนได้ที่นั่งสบาย บ้างได้นั่งครึ่งก้น บางคนได้ยืนอย่างสบาย บ้างได้ยืนเพียงขาเดียว แต่ก็ไม่มีใครปริปากว่าลำบากในการเดินทาง หรือเรียกร้องที่นั่งดีๆ
      คนขับรถโดยสารคันนี้ชื่อธนาธร แม้เป็นมือใหม่หัดขับ แต่ก็ขับรถเป็น เพราะเคยขับรถเบนซ์มาก่อน ต่างกันที่รถเบนซ์เป็นเกียร์อัตโนมัติขับง่าย แต่รถโดยสารเป็นเกียร์กระปุก การเดินรถต้องค่อยๆ ไปทีละเกียร์ ตั้งแต่เกียร์ 1 ถึง 5 สลับไปมา ผู้โดยสารทุกคนก็ทราบดีว่าคนขับรถโดยสารคันนี้เป็นมือใหม่ แต่ก็เต็มใจที่จะร่วมเดินทาง เพราะมั่นใจว่าคนขับรถคันนี้รู้เส้นทางที่จะนำพวกเขาเหล่านี้ไปถึงโรงเรียนประชาธิปไตยที่เขาใฝ่ฝันได้
      และแล้วคนขับรถโดยสารก็ทำสำเร็จ สามารถนำผู้โดยสารทุกคนไปถึงโรงเรียนประชาธิปไตยได้อย่างปลอดภัยทุกคน แต่ปัญหาอยู่ที่ขากลับ คนขับรถอาจลำพองว่ารู้เส้นทางที่จะมาถึงจุดหมายได้แล้ว ก็เลยเผลอดื่มเหล้าระหว่างการขับรถโดยสารระหว่างขากลับ ทำให้มึนเมาหรืออาจเรียกได้ว่าเมาอำนาจตัวเองก็ได้ เมื่อเมาแล้วขับ ทำให้การครองสติในการขับรถไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่งผลให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน อาจมองเห็นแค่บางคน และภาพบางคนขาดหายไป บางครั้งขับรถส่ายไปส่ายมา ไม่เหมือนตอนขาไปที่ขับ
       พอถึงครึ่งทางมีผู้โดยสารบางคนที่ยืนเกาะท้ายรถตกรถโดยสารคันดังกล่าว มีผู้โดยสารในรถกดกริ่งเพื่อแจ้งเตือนให้คนขับจอดรถเพื่อจะดูอาการคนที่ตกรถ แต่ด้วยการครองสติไม่ได้ของคนขับ ทำให้ไม่สนใจ แล้วยังขับรถโดยสารต่อไป ทั้งที่ความจริง หากคนขับรถมีสติอยู่บ้าง หรือไม่เมามายอะไร เขาจะต้องหยุดรถ แล้วไปดูผู้โดยสารที่บาดเจ็บ สอบถามเขาว่าเขาเจ็บตรงไหนอะไรบ้าง แล้วพยุงเขาขึ้นรถ แล้วพาไปรักษาในที่เหมาะสม เมื่อผู้โดยสารคนที่บาดเจ็บหายดี เชื่อว่าเขาก็ยังจะเดินทางไปต่อกับรถโดยสารคันนี้และไว้ใจคนขับคนนี้เช่นเดิม
     แต่เมื่อคนขับรถโดยสารไม่สนใจไยดีว่าผู้โดยสารจะเป็นเช่นไรก็ตามข้าไม่สนใจ เพราะคนส่วนใหญ่ยังขึ้นรถเต็มคันอยู่เหมือนเดิมแล้วนั้น ต่อไปผู้โดยสารในรถคันดังกล่าวจะเห็นพฤติกรรมของคนขับคันนี้ และอาจไม่เดินทางไปต่อก็ได้ แต่ก็หวังลึกๆ ว่าคนขับรถคันนี้จะครองสติแล้วทบทวนตัวเองอีกครั้ง
    ด้าน น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์หลังเข้าชี้แจงต่อกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ เพื่อสอบสวนเกี่ยวกับ ส.ส.โหวตสวนมติพรรค ในพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ.2562 ตามที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ
    น.ส.ศรีนวลเปิดเผยว่า ได้แจ้งเหตุผลของการงดออกเสียงต่อร่าง พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ ไปว่า หากออกเสียงเห็นด้วยก็จะเป็นการเกรงใจมติพรรค แต่หากโหวตไม่เห็นด้วยก็จะเป็นประเด็นเรื่องการจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตนจึงเลือกการงดออกเสียง เพราะไม่สามารถออกเสียงมติตามพรรคได้ เพราะการโอนย้ายกำลังพลฯ นั้นเป็นการทำไปเพื่อดูแลความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ เราขัดไม่ได้ เพราะเราเป็นคนไทย ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร มันเป็นสิทธิ์ของเรา เมื่อชี้แจงไปแบบนี้ทางพรรคก็ยังไม่ให้ความเห็น เพียงแค่รับฟังตนเท่านั้น
    “เมื่อทุกคนเรียกร้องประชาธิปไตยกัน จึงต้องสามารถทำงานร่วมกันทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เราสามารถจะเข้าใครก็ได้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนเราก็ชี้แจงไปแบบนี้” 
    เมื่อถามว่า ส.ส.ในพรรคมีปฏิกิริยาต่อตัวเองอย่างไร น.ส.ศรีนวลตอบว่า เพื่อน ส.ส.หลายคนก็เฉยๆ ตามมารยาทของคนไทย บางคนก็มาคุย แต่ยืนยันว่าจะทำงานเป็นหลักเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างไม่มีอะไรแอบแฝง 
    “คนในพื้นที่ตอนแรกก็เข้าใจผิด เพราะในโลกโซเชียลก็มีการพูดถึงเรื่องงูเห่าสีส้มพรรคอนาคตใหม่รับเงิน 10 ล้าน 40 ล้าน 50 ล้าน รวมกันแล้วก็ 100 ล้าน ถ้ามันได้จริงๆ แม่จะขอลาออกเลย แต่มันไม่มีไง ลองคิดดูว่าคะแนน 374 เสียง แล้วเขาจะเอาเป็นสิบๆ ล้านเพื่อแลกกับการงดออกเสียง 1 เสียงทำไม และยืนยันว่าไม่เคยมีพรรคนั้นมาซื้อพรรคนี้มาขอซื้อให้ย้ายฝั่ง และในหัวยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ด้วย ตลอดมาทุกวันอังคารที่ประชุมพรรค แม่ไม่เคยขาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ประชุมสภาก็ไม่เคยลา เพราะตั้งใจทำงานให้ประชาชน” 
    ส่วนกระแสข่าวเรื่องที่พบนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น น.ส.ศรีนวล เปิดเผยว่า วันนั้นตนเพียงนำหนังสือของโรงพยาบาลแม่วาง ที่ทำเรื่องขอใช้พื้นที่ของโรงเรียนบ้านใหม่ปางเติมที่ถูกยุบไปไปให้นายอนุทิน ตนมีหน้าที่เพียงนำหนังสือไปส่งเท่านั้น คือหลังจากส่งหนังสือที่กระทรวงสาธารณสุขเสร็จก็โทร.ไปหานายอนุทิน ซึ่งท่านบอกว่าอยู่ที่ทำเนียบฯ ตนจึงต้องนำหนังสือไปส่งที่ทำเนียบฯ  ตอนนั้นหาท่านไม่เจอ จึงโทร.หาอีกรอบ ท่านจึงให้เจ้าหน้าที่ลงมารับ ตนจึงเดินตามไป แต่ข่าวกลับออกมาบอกว่าเราไปหลบไปซ่อน ขอร้องว่าอยากให้ทำข่าวกันตามความจริง อย่าใส่ร้ายป้ายสีกันแบบนี้
       วันเดียวกันนี้ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปตรวจสอบพื้นที่ที่ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ร่วมกับชาวบ้านอำเภอจอมบึงมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ว่ามีบุคคลที่อ้างเป็นผู้แทนมารดาของนายธนาธร  แล้วเข้าครอบครองที่ดินซึ่งเป็นป่าชุมชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยระบุว่าเจ้าของที่ดินคือมารดานายธนาธร ซึ่งซื้อที่ดินแปลงใหญ่ประมาณ 200-300 ไร่จากโรงงานน้ำตาลแห่งใหญ่ในจังหวัดราชบุรีมานานแล้วโดยไม่ได้เข้าไปทำประโยชน์ จนชาวบ้านเข้าไปทำโครงการป่าชุมชน เจ้าของที่ดินจึงไม่ยินยอมให้ชาวบ้านเข้าไปปลูกต้นไม้และหาของป่าในพื้นที่ที่ครอบครองอยู่
       นายอรรถพลกล่าวว่า พื้นที่ที่เป็นป่าชุมชนนั้นอยู่ในหมู่ที่ 14 บ้านหนองน้ำใส ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง รายละเอียดขอบเขตแปลงยังไม่ชัดเจน ขนาดแปลงประมาณกว่า 3,000 ไร่ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเดิม ต่อมามีการประกาศเขตปฏิรูปที่ดินทับซ้อน จึงทำให้มีเอกสารสิทธิหลายประเภท ทั้งโฉนดที่ดิน นส.2, นส.3 รวมถึง ภบท.5 แต่มีบางส่วนไม่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ได้แก่ บริเวณที่เป็นป่าสมบูรณ์และภูเขา ดังนั้นจึงจะมีคณะกรรมการร่วมจากทั้งกรมที่ดิน กรมป่าไม้ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ร่วมตรวจสอบและกำหนดขอบเขตของที่ดินให้ชัดเจน ว่าบริเวณใดอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานไหน
       มีรายงานเบื้องต้นจากกรมป่าไม้ว่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 10 (ราชบุรี) กรมป่าไม้ดำเนินโครงการเครือข่ายหมู่บ้านฟื้นฟูป่า โดยหารือกับชุมชนแล้วมติเห็นสมควรร่วมกันจัดตั้งป่าชุมชน เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ทางผู้นำชุมชนและราษฎรได้นัดหมายเจ้าหน้าที่ศูนย์ป่าไม้ราชบุรี ตรวจสอบพื้นที่ตามคำขออนุญาตจัดทำโครงการป่าชุมชน ในระหว่างการดำเนินการจัดตั้งโครงการป่าชุมชนบ้านหนองน้ำใส ได้รับข้อมูลจากผู้ใหญ่บ้านหนองน้ำใสว่ามีบุคคลชื่อ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มาแสดงเอกสารการครอบครองที่ดินในพื้นที่บางส่วน ทางผู้ใหญ่บ้านจึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ป่าไม้ราชบุรีทราบ และทางศูนย์ป่าไม้ราชบุรี จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักจัดการป่าชุมชนเพื่อขอตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนอีกครั้ง ก่อนเสนอกรมป่าไม้อนุมัติ ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม เจ้าหน้าที่จากสำนักงานที่ดิน สาขาจอมบึง กรรมการหมู่บ้าน ได้ร่วมพูดคุยกับตัวแทนของนางสมพร ซึ่งแสดงเอกสารครอบครองที่ดินเป็น นส.2, นส. 3 และ ภบท.5 แต่ทั้งนี้พื้นที่อ้างเอกสารครอบครองที่ดินดังกล่าวไม่สามารถระบุขอบเขตที่ชัดเจนได้ โดยผู้อ้างเอกสารครอบครองที่ดินบอกให้ชาวบ้านไปตรวจสอบว่าเป็นพื้นที่ของรัฐหรือไม่ จึงนำมาสู่การร้องเรียนดังกล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"