จะเป็นเพราะถูกเอาไปหยิก ไปหยอก ในโซเชียล มีเดีย ชนิดเนื้อเขียว เนื้อเหลือง เป็นจ้ำๆ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ เมื่อวานนี้...ท่านอธิบดี กรมอุตุฯ ท่านเลยออกมาแถลงใหม่ ว่าอากาศหนาวปีนี้จะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม ไปจนถึงต้นเดือนมกราคมปีหน้า โดยจะหนาวกว่าปีก่อนประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส...
------------------------------------------------
ส่วนแต่เดิมที...ที่เคยประกาศว่าจะเริ่มต้นฤดูหนาวตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา และอาจหนาวหนัก หนาวนาน ไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ท่านอธิบดีท่านได้ให้คำอธิบายเอาไว้ค่อนข้าง เก๋ ไม่น้อย คือสรุปเอาไว้ประมาณว่า การประกาศว่าเข้าสู่ฤดูหนาว กับอากาศเย็นลงนั้น เป็นคนละเรื่องกัน จึงอยากให้ประชาชนทำความเข้าใจเอาไว้ด้วย ฮื่ออ์อ์อ์...ต้องเรียกว่าอะไรจะชั่ง อุตลุดนิยมวิทยา ไปได้ถึงปานนั้น...
--------------------------------------------------
แต่ก็เอาเถอะ...เอาเป็นว่า การคาดการณ์สภาพความเป็นไปของอุณหภูมิอากาศในช่วงหลังๆ นี้ ไม่ว่าจะ กรมอุตุฯ ของประเทศไทย หรือกรมไหนๆ ของประเทศไหนๆ ก็แล้วแต่ โอกาสที่จะให้มันออกไปทาง เป๊ะๆๆ ออกจะเป็นอะไรที่ยากซ์ซ์ซ์เย็นเต็มที เนื่องจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอากาศ ในยุคที่โลกนับวันมันมีแต่จะร้อนขึ้นๆ หรือใน สภาวะโลกร้อน ที่เริ่มแสดงตัวตนให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นไปทุกที ไม่ว่านักพยากรณ์อากาศประเทศไหนต่อประเทศไหน ล้วนแล้วแต่ มึนซ์ซ์ซ์กับมึนซ์ซ์ซ์ ไปด้วยกันทั้งนั้น...
---------------------------------------------------
เรียกว่า...ตั้งแต่สิบกว่าปีมาแล้ว หรือช่วงปี ค.ศ.2006 โน่นเลย ที่นักพยากรณ์อากาศแห่งศูนย์วิจัยพลังงานและสิ่งแวดล้อมฯ ขององค์กรระดับสหประชาชาติ อย่าง นาย Stephen Mwakifwamba ที่ได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจวิจัยสภาวะความเป็นไปของอากาศในประเทศแทนซาเนีย โดยรายงานที่ได้ส่งไปยังสหประชาชาติช่วงหนึ่ง ยังถึงกับต้องสรุปเอาไว้ว่า...“ในอดีตเราสามารถคาดเดาได้ว่า ภาวะความแห้งแล้งที่เกิดขึ้นกับประเทศแอฟริกาแห่งนี้ จะเกิดขึ้นในทุกๆ รอบ 10 ปี แต่ปัจจุบันเราไม่สามารถกำหนดได้เลยว่า ความแห้งแล้งจะมาถึงเมื่อไหร่ เพราะนอกจากมันเกิดขึ้นถี่ๆ ในแทบทุก 3 ปี มันยังสลับด้วยภาวะน้ำท่วม ที่เกิดขึ้นแทบทุกเดือนพฤษภาคมของแต่ละปี เขตที่สูงซึ่งไม่เคยมียุงรบกวน ขณะนี้กลับได้เกิดการแพร่ระบาดของยุง ขณะที่ระดับน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ ลดลงไปในแต่ละวัน แต่ฝนกลับมาตกกระหน่ำในช่วงที่ชาวนาและเกษตรกรไม่ต้องการ ทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนี้...จึงแทบพยากรณ์ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”...
-----------------------------------------------------
คือไม่ใช่แต่เฉพาะบ้านเราเท่านั้น...ที่ต้อง เข้าสู่ฤดูหนาว ชนิดเหงื่อไหล ไคลย้อย ไปตามๆ กัน ต้องแก้ผ้า โดดลงในโอ่ง นับตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมเป็นต้นมา จนแทบจะสิ้นเดือนตุลาคมไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับ อากาศเย็น ในช่วง ฤดูหนาว เอาเลยแม้แต่นิด แต่ในทุกๆ ซีกโลก หรือแทบทุกๆ ประเทศนั่นแหละ ท่ามกลาง สภาวะโลกร้อน หรือ สภาวะการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอากาศ ที่แทบ คาดเดาไม่ได้ ยิ่งขึ้นทุกที เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวแล้ง เดี๋ยวท่วม เกิดอาการสวิงไป-สวิงมา แบบชนิดฉกาจฉกรรจ์จนแทบไม่รู้ว่าเป็น ฤดู ไหนกันแน่ ต้องถือเป็นเรื่อง ปกติที่ไม่ปกติ ไปแล้วก็ว่าได้...
--------------------------------------------------------
และไม่ว่าจะโดยเหตุปัจจัยใดๆ ก็แล้วแต่...แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า ถ้าว่ากันตามคำตรัส หรือคำสอน ของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรากฏอยู่ใน ทุติยปัณณาสก์ หรือใน สุตตันตปิฎก หมวด อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต พระศาสดาของบรรดาชาวพุทธทั้งหลาย ท่านได้หยิบเอา ความปรวนแปรของฤดูกาล ไปเทียบเคียงกับความเป็นไปในสังคมมนุษย์ อย่างชนิดน่าคิด น่าสะกิดใจ เอามากๆ หรือได้แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวโยง เกี่ยวพัน ระหว่างอุณหภูมิอากาศ กับพฤติกรรมของผู้คนในสังคมแต่ละสังคม อย่างชนิดไม่อาจแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด ใครที่สนใจก็ลองไปหาอ่านเอาเองก็แล้วกัน...
----------------------------------------------------
แต่ไม่ว่า ธรรมชาติ ท่านจะผันผวน ปรวนแปร ไปในลักษณะไหน...การยึดมั่น ศรัทธา การตั้งมั่นอยู่ใน ธรรมะ นั่นแหละ คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพยายามชี้ให้เห็นว่าเป็นทางออก ทางรอด ทางที่จะนำไปสู่ความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย ไม่ว่าต่อสังคมไหนๆ หรือแม้แต่ต่อปัจเจกบุคคลใดๆ ก็ตามที ดังปรากฏเป็น พุทธภาษิต ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อันว่าด้วย ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจารี หรือ ธรรมะ...ย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม นั่นแล ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่า ฤดูหนาวอันแสนร้อน ที่กำลังส่งผลให้ใครต่อใครเหงื่อไหลไคลย้อย หรืออาจถึงขั้นต้องตับแลบ ม้ามแลบ ในช่วงนี้ ก็คงต้องหันไปยึดเอา ธรรมะ เป็นที่ตั้งเอาไว้ก่อน นั่นแหละดี...
--------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Sanskrit saying...“Rise and fall are properties of the big as wax and wane are of the moon; stars, however, suffer no change. - สัมปะโท มหะตาเมวะ มหะตาเมวะ จาปทะ วรุธเต กษียะเต จันโทร นะ ตุ ตาราคณะ กวะจิต...ความเจริญและความเสื่อมเป็นเรื่องของคนใหญ่ คนโต อุปมาดั่งดวงจันทร์ซึ่งมีขึ้น มีแรม ส่วนดวงดาวทั้งหลาย หาได้ผันแปรไม่...”
--------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |