30 ต.ค. 62 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลได้อ่านคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ (นางอุบลรัตน์ ลุยวิกัย ในขณะนั้น) วท. 12/ 2562 ศาลอุทธรณ์ที่มีคำวินิจฉัยลงวันที่วันที่ 4 ก.ย. 2562 ในคดีหมายเลขดำที่ อท.54/2562 ที่นายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ กับพวกรวม 2 คนยื่นฟ้อง นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับพวกซึ่งเป็น กกต. รวม 7คน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 7 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 43 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง 2560 มาตรา 29 ประกอบมาตรา 25 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 23 ประกอบมาตรา 149 และมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้ง 7 มีกำหนด 20 ปี
ศาลชั้นต้นเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบหรือไม่ จึงมีคำสั่งให้ส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ เพื่อให้ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ 2559 มาตรา 11
โดยในวันอ่านคำสั่งของประธานศาลอุทธรณ์ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ที่ 1 และเป็นตัวโจทก์ที่ 2 เดินทางมาศาล พร้อมกับทนายโจทก์ทั้งสอง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กกต. เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2560 หมวด 12 ส่วนที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 224 เมื่อจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งประธาน กกต.จำเลยที่ 2-7 ดำรงตำแหน่ง กกต.จำเลยทั้ง 7 จึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้ง 7 จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 23 ประกอบมาตรา 149 และ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. 2560 มาตรา 21 ประกอบ 22 และมาตรา 38 ไม่ตรวจคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นบุคคลที่พรรคพลังประชารัฐแจ้งว่าจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และร่วมกันออกประกาศ กกต. เรื่องการแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ฉบับลงวันที่ 11 ก.พ. 2562 ให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลที่พรรคพลังประชารัฐแจ้งว่าจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 30 เพื่อให้เป็นคุณแก่พรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 17 มี.ค. 2562 (เลือกตั้งล่วงหน้า) และในวันที่ 24 มี.ค.2562 (เลือกตั้งทั่วไป) ทั้งเมื่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นหนังสือเพื่อขอให้ตรวจสอบการคัดเลือก พลอ.ประยุทธ์ จำเลยทั้ง 7 ก็มิได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อโต้แย้งดังกล่าว
ต่อมาเมื่อนายวิญญัติ ชาติมนตรี ยื่นหนังสือคัดค้านการประกาศรายชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และขอให้เพิกถอนชื่อบุคคลดังกล่าว จำเลยทั้ง 7 ยังคงให้มีการประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี อยู่ต่อไป เมื่อนายเรืองไกรยื่นหนังสือขอให้ กกต.วินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่เป็นครั้งที่ 2 จำเลยทั้ง 7 ก็ยังคงปล่อยให้มีการประกาศเรื่องการแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก
จำเลยทั้ง 7 รับทราบข้อโต้แย้งแล้ว แต่ไม่ดำเนินการตามหน้าที่สั่งให้ระงับยับยั้งหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้การเลือกตั้งการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมและชอบด้วยกฎหมาย กับให้พล.อ.ประยุทธ์ สามารถรณรงค์หาเสียงหรือขึ้นเวทีปราศรัย ในฐานะที่เป็นผู้ถูกแสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐได้ ซึ่งความจริง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช.เป็น “ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” ไม่มีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามการเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 160 และ พ.ร.ป.ด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา 13, 44 การกระทำของจำเลยทั้ง 7 เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.ป.กกต.มาตรา 5 ประกอบมาตรา 25 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 23 ประกอบมาตรา 144
จึงเป็นกรณีที่มูลความแห่งคดีเป็นการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ซึ่งหากจะฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามบทบัญญัติ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2560 มาตรา 23 กำหนดผู้มีอำนาจฟ้องคดี ได้แก่ อัยการสูงสุด และคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตเเห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตกำหนด ใช้บังคับในกรณีที่อัยการสูงสุดและ ป.ป.ช.เป็นผู้ฟ้องคดี แต่คดีนี้ผู้ฟ้องคดีคือโจทก์ทั้งสอง มิใช่อัยการสูงสุดหรือ ป.ป.ช.ย่อมไม่อยู่ภายใต้บังคับของบทกฎหมายดังกล่าว
เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง 7 โดยจำเลยที่ 1 เป็นประธาน กกต.จำเลยที่ 2-7 เป็น กกต.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา 23 ประกอบมาตรา 149 และ พ.ร.ป.กกต.2560 มาตรา 38 กำหนดว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้ง 7 ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีทุจริตและประพฤติมิชอบอยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2555 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (1) วินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ จึงมีคำสั่งให้รับคดีไว้ตรวจฟ้องนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา (ในชั้นตรวจฟ้อง) ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) กล่าวว่า ในฐานะที่เคยยื่นหนังสือคัดค้านการประกาศรายชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และขอให้เพิกถอนชื่อบุคคลดังกล่าวต่อ กกต. ได้ทราบคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยให้คดีฟ้อง กกต.เป็นคดีอยู่ในอำนาจของศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ประชาชนสามารถฟ้องเองได้ อาจถือว่าเป็นประเด็นข้อกฎหมายที่รับรองถึงการใช้สิทธิฟ้ององค์กรอิสระต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้โดยตรง แม้โจทก์ที่ยื่นฟ้องคดี ปัจจุบันได้เป็น ส.ส.ได้ถอนฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 7 คนแล้วก็ตาม แต่คำวินิจฉัยนี้จะเป็นบรรทัดฐานว่าด้วยผู้มีอำนาจฟ้องคดีที่สำคัญต่อไป.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |