24ต.ค.62-เพจเฟซบุ๊ก BIOTHAI ของมูลนิธิชีววิถี โพสต์ข้อความระบุว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า “ก่อนเดินทางมาจีนมีเจ้าหน้าที่เอาเอกสารมาให้เซ็นที่สนามบิน ระบุว่า สถานทูตสหรัฐฯ บอกว่าหากแบนไกลโฟเซตจะมีผลเสีย ขอให้มีตัวนี้อยู่ เพราะยังหาตัวอื่นมาทดแทนไม่ได้”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลสหรัฐ แทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย เพื่อประโยชน์ของบรรษัทเทคโนโลยีชีภาพ
ย้อนรอยไปในปี 2540 หรือกว่า 20 ปีที่แล้ว เครือข่ายสิทธิภูมิปัญญาไทย ซึ่งเป็นชื่อของเครือข่ายนักวิชาการและภาคประชาสังคม ซึ่งต่อมารู้จักกันภายใต้ชื่อ BIOTHAI ได้ร่วมกับสถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในขณะนั้นมีแพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ เป็นผู้อำนวยการ ร่วมกันร่างกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พร้อมกับที่ในด้านหนึ่งได้ร่วมกันผลักดันให้มีกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช ซึ่งทั้งสองร่างมีหลักการสำคัญคือ ป้องกันมิให้เกิดกรณีโจรสลัดชีวภาพ ที่มีบรรษัทข้ามชาติเข้าใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นแล้วนำไปจดสิทธิบัตรผูกขาด ซึ่งนอกจากเจ้าของทรัพยากรไม่ได้ประโยชน์ใดๆแล้ว ยังปิดกั้นมิให้เจ้าของทรัพยากรสามารถวิจัยและพัฒนาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและความรู้ท้องถิ่นของตนเองได้ในอนาคตด้วย
ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับเป็นโมเดลกฎหมายแรกๆของโลกที่พัฒนาขึ้นจากหลักการ “สิทธิอธิปไตยของประเทศเหนือทรัพยากรชีวภาพ” เพื่อตอบโต้กับบรรดาโจรสลัดชีวภาพ
ในระหว่างกระบวนการร่างกฎหมาย จู่ๆมีหนังสือจากสถานฑูตสหรัฐฯส่งมายังกระทรวงสาธารณสุข เพื่อข่มขู่ว่าการร่างกฎหมายดังกล่าวขัดกับหลักการเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้องค์การค้าโลก และคุกคามผลประโยชน์ของบรรษัทยาและบริษัทเมล็ดพันธุ์สหรัฐฯ แต่คณะผู้ร่างกฎหมายทั้งจากฝั่งของกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตรฯหาได้หวั่นไหวไม่
พวกเราตอบโต้ โดยจัดประชุมวิชาการระหว่างประเทศเพื่อประกาศว่า การออกกฎหมายทั้งสองฉบับของประเทศไทย เป็นไปตามหลักการกฎหมายระหว่างประเทศใน “อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ” และ “หน้าต่างของความตกลง TRIPS” ขององค์การค้าโลกเอง ที่เปิดให้แต่ละประเทศสามารถออกกฎหมายที่มีลักษณะเฉพาะหรือ Sui generis ได้ ตัวแทนของผู้เข้าร่วมประชุมยังได้เดินทางไปพบนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นที่ทำเนียบรัฐบาล จนในที่สุดรัฐสภาได้ผ่านกฎหมาย คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชในปี 2542 เป็นผลสำเร็จ
การแทรกแซงกิจการภายในครั้งนั้นของสหรัฐมีผู้รู้เห็นเป็นประจักษ์พยานหลายท่าน บางท่านเป็นข้าราชการในกรมทรัพย์สินทางปัญญา บางท่านเป็นอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ บางท่านเดินทางเข้าออกประชุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาล บางท่านเป็นนักกฎหมายใหญ่ของสำนักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลายท่านเป็นเอ็นจีโอที่ยังคงทำงานในแวดวงต่างๆ
เช่นเดียวกับการต่อสู้เพื่อให้ยกเลิกการใช้สารพิษร้ายแรงครั้งนี้ ที่ประเทศไทยต้องยืนหยัดต่อสู้กับการแทรกแซงกิจการภายในจากรัฐบาลต่างประเทศและบรรดาบริษัทข้ามชาติ เพราะเราต่างก็รู้ดีว่า ทั้งไกลโฟเซตและพืชดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อให้ต้านทานไกลโฟเซตนั้น มีบริษัทมอนซานโต้เป็นผู้ครอบครองตลาด
พวกเขาผลักดันพืชจีเอ็มก็เพื่อจะได้ขายไกลโฟเซตมากขึ้น ในขณะที่การแบนไกลโฟเซตก็จะทำให้ตลาดพืชจีเอ็มที่มียีนต้านทานไกลโฟเซตที่มอนซานโต้เป็นผู้ผูกขาดจะถูกปิดตายในอนาคตไปด้วย ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องทั้งส่งเสริมพืชจีเอ็มโอและค้านการแบนไกลโฟเซตไปพร้อมๆกัน
ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น เมื่อเดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลเวียดนามประกาศห้ามนำเข้าไกลโฟเซต นาย Sonny Perdue รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรสหรัฐ กล่าววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเวียดนามว่า การแบนไกลโฟเซต “ ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการผลิตทางการเกษตรทั่วโลก” แต่รัฐบาลเวียดนามตอบโต้กลับอย่างรวดเร็วว่า “การตัดสินใจของเวียดนามเป็นไปตามกฎหมายภายในของเวียดนาม ระเบียบระหว่างประเทศ และสอดคล้องกับเงื่อนไขทางสังคม-เศรษฐกิจของเรา” (https://www.reuters.com/…/u-s-criticizes-vietnam-ban-of-gly…)
แผนภาพขององค์กรชื่อ Food Democracy Now ในสหรัฐ ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์และบทบาททับซ้อนของผู้มีบทบาททางการเมือง หน่วยงานของรัฐในสหรัฐกับบริษัทมอนซานโต้เจ้าของผลิตภัณฑ์ไกลโฟเซตและพืชจีเอ็ม RoundUp Ready
ตัวอย่างความสัมพันธ์ทับซ้อน เช่น นาย Mickey Kantor บอร์ดของมอนซานโต้ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐ นาง Linda Fisher รองประธานบริษัท ฝ่ายรัฐกิจและประชาสัมพันธ์ ต่อมาได้รับตำแหน่งรองประธานฝ่ายบริหารของ EPA เป็นต้น
การแทรกแซงของสหรัฐในกิจการภายในของเรา ชี้ให้เห็นแล้วว่า การแบนพาราควอตและไกลโฟเซตนั้น มิได้เป็นเพียงเรื่องเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลของหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลสหรัฐด้วย
รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยควรตอบโต้เฉกเช่นรัฐบาลเวียดนาม โดยควรตอบกลับฑูตสหรัฐไปว่า นี่เป็นกิจการภายในของประเทศไทยที่การแบนสารพิษนี้ เป็นไปเพื่อคุ้มครองเกษตรกรและผู้บริโภค เป็นไปตามกฎหมายของไทย และสอดคล้องกับรายงานเกี่ยวกับรายงานความเป็นพิษขององค์การอนามัยโลกว่าไกลโฟเซตเป็นสารก่อมะเร็ง หน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐที่สมควรทำคือการดูแลประชาชนของตนเอง ไปบังคับคดีให้บริษัทไบเออร์-มอนซานโต้ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวอเมริกันที่ป่วยเพราะโรคมะเร็งจากไกลโฟเซต ตามคำตัดสินของศาลสหรัฐโดยเร็วต่างหาก
เราเชื่อว่ารัฐบาลไทยจะไม่อ่อนไหวตามแรงกดดันของสหรัฐ !?
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |