หนุ่มตี๋ขับซีวิคป้ายแดงเฉี่ยวชนกระบะ ลงมาด่ายับทั้งที่ตัวเองน่าจะผิด ลามไปถึงดูหมิ่นประเทศไทย บริษัทต้นสังกัดประกาศปลดทันที ชาวเน็ตขุดวีรกรรม ระบุเป็นลูกเจ้าหน้าที่สถานทูต ตำรวจเตรียมเช็กบิล
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก โต้ เจ็ทโด้ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ พร้อมระบุข้อความ “กลับรถไม่ดูรถมาทางตรงเลยน่ะเสี่ย ลงมาด่ากูยับเลย ไม่ตะบันหน้าให้ก็บุญแล้ว” ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิค ป้ายแดง เฉี่ยวชนกับรถกระบะ บริเวณถนนอุทยาน หรือถนนอักษะ ย่านทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร เขตเชื่อมต่ออำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ซึ่งคนขับรถฮอนด้า ผิวขาว สวมแว่น ได้ลงมาโวยวายด่าทอคู่กรณี ลามไปถึงด่ากราดคนไทยทั้งประเทศ ว่าด้อยพัฒนา คนจนเป็นคนชั้นต่ำ ไม่มีบ้าน-รถหรู อย่างตน ก่อให้เกิดกระแสไม่พอใจในสื่อออนไลน์
ต่อมา บริษัท กาซ่าดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงว่า เบื้องต้นทางบริษัท กาซ่าดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้จัดตั้งในประเทศไทยและได้ดำเนินกิจการเป็นไปตามกฎหมายไทยตลอดมา บริษัทเคารพและเชิดชูในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุด จากเหตุการณ์ตามคลิปที่โพสต์ลงสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีพนักงานของบริษัท กาซ่าดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ใช้คำพูดและแสดงกิริยาก้าวร้าวรุนแรง รวมถึงหมิ่นประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ ทางบริษัทรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
บริษัทได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้พนักงานดังกล่าวพ้นสภาพการเป็นพนักงาน ตามมาตรการและระเบียบบริษัท โดยมีผลนับตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป
ขณะที่ในโลกออนไลน์ยังมีการขุดคุ้ยการกระทำในอดีตของคนขับรถฮอนด้า ซีวิค รายนี้ ว่าเคยก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีผู้ระบุว่าชายคนนี้เป็นลูกชายเลขานุการทูตประจำประเทศหนึ่งในยุโรป
พ.ต.อ.กัมปนาท ณ วิชัย ผกก.สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันที่ 23 ต.ค.นี้ รถยนต์ฮอนด้า ซีวิค สีบรอนซ์ ได้กลับรถบริเวณถนนพุทธมณฑลสาย 4 ช่วงหน้าพุทธมณฑล แล้วเฉี่ยวชนกับรถกระบะสีขาวคู่กรณีเพียงเล็กน้อย แต่ที่เป็นประเด็นคือทางฝ่ายรถเก๋งมีการด่าว่าฝ่ายรถกระบะ แต่เมื่อตำรวจไปถึงจุดเกิดเหตุทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันได้แล้ว และได้เรียกประกันมาตกลงค่าเสียหายกันเอง โดยไม่มาที่สถานีตำรวจ เพราะไม่มีคนเจ็บแต่อย่างใด ก่อนจะแยกย้ายกันไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ขับขี่รถซีวิคคันดังกล่าว ที่มีการด่าทอ ดูถูกคนไทย ดังปรากฏในคลิปที่มีการแชร์ไปทั่วทั้งสังคมออนไลน์นั้น สภ.พุทธมณฑลจะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายกับบุคคลในคลิปต่อไป ในข้อหาดูหมิ่น หมิ่นประมาท มีอัตราโทษจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ส่วนจะมีข้อหาอื่นๆ เพิ่มเติมอีกหรือไม่ ขณะนี้กำลังตามตัวหนุ่มซีวิคคนดังกล่าวเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก สภ.พุทธมณฑลแล้ว ซึ่งในประเด็นที่มีการด่าว่าหรือดูหมิ่นกันนั้น คงต้องมีการตรวจสอบว่าเป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน หากเป็นความผิดต่อส่วนตัว ฝ่ายที่เสียหายจะต้องมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเสียก่อน แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน เจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถกล่าวโทษเองเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายได้
"ที่ชายคนดังกล่าวพูดในคลิปลักษณะที่ว่า ตนเองอายุ 24 ปี เป็นลูกเศรษฐี มีรถป้ายแดงคันละล้านสอง มีทุกอย่างที่เจ้าของคลิปไม่มี และตนไม่แคร์ตำรวจ เพราะรู้จักนายตำรวจใหญ่นั้น ถึงแม้จะเป็นการพูดส่วนตัวของคู่กรณี ก็ไม่อยากให้มาพูดพาดพิงหรือส่งผลเสียต่อองค์กรอื่น โดยหากตรวจสอบแล้วพบว่าการกระทำจากเหตุการณ์ข้างต้นเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายใด ก็จะดำเนินคดีตามพยานหลักฐาน ไม่มีการยกเว้นว่ารู้จักผู้ใดหรือไม่ โดยที่ผ่านมามักมีการแอบอ้างลักษณะนี้เยอะ ทำให้ประชาชนมององค์กรตำรวจไม่ดี" รองโฆษก ตร.กล่าว
อีกกรณีหนึ่ง มีการแชร์คลิปเหตุการณ์ชายรูปร่างอ้วนขับรถเก๋งโตโยต้า คัมรี่ สีขาว ผ่านเข้ามาในพื้นที่ควบคุมของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ ทางด้านฟรีโซน โดยขับผ่านตู้จ่ายบัตร GH2 ซึ่งเป็นทางเข้าโดยโดยไม่ยอมรับบัตรจอดรถจากเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงเรียกให้หยุดเพื่อให้วนกลับไปรับบัตรเข้าจอด แต่กลับถูกชายคนดังกล่าวซึ่งอยู่ในอาการคล้ายคนเมาสุราลงมาต่อว่าและด่าทอเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งแสดงพฤติกรรมลักษณะข่มขู่เจ้าหน้าที่และทำลายทรัพย์สิน ต่อมามีชายสูงวัยขับรถมารับชายคนก่อเหตุออกไป
น.ท.สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า บุคคลดังกล่าวเข้ามารับทำงานในสนามบินสุวรรณภูมิเกี่ยวกับการชาร์จไฟ และทำป้ายโฆษณาภายในสนามบิน ซึ่งในวันที่เกิดเหตุมีปัญหาทะเลาะกันแฟนสาวจึงก่อเหตุดังกล่าวขึ้น โดยแนวทางการปฏิบัตินั้น เจ้าหน้าที่สนามบินจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนด้วยการจับกุมและควบคุมตัวไป สภ.สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะเหตุเกิดตั้งแต่ 02.00 น.วันที่ 22 ต.ค. แต่กลับมาแจ้งความตอนตี 04.00 น. นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้รายงานผลการเกิดเหตุดังกล่าวให้กับตนได้รับทราบ มารู้ทีหลังเป็นเวลาช่วงบ่ายแล้ว ซึ่งได้ให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนกรณีที่ไม่รายงานในเรื่องนี้ และพร้อมที่จะดำเนินคดีตามกฎหมาย
นายกิตติพงษ์ กิตติขจร รอง ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ ทอท.ไม่จับกุมตัวผู้ก่อเหตุในช่วงที่เกิดเหตุ เป็นเพราะบิดาของผู้ก่อเหตุได้ไหว้ขอโทษเจ้าหน้าที่และตบหน้าลูกชายให้ได้สติ ซึ่งพนักงานเห็นว่าบิดาไม่ได้เข้าข้างบุตรชาย และบิดาขอนำตัวบุตรชายกลับบ้านไปก่อน และจะนำบุตรชายเข้าพบพนักงานสอบอีกครั้ง โดยได้นำตัวบุตรชายเข้าพบตำรวจแล้ว และเรื่องนี้ไม่มีการไกล่เกลี่ย จะต้องขึ้นศาลดำเนินคดี
ทั้งนี้ นายวัฒนา ศุริยะพงษ์ บิดาของนายพศวัต ศุริยะพงษ์ ได้พาบุตรชายที่ก่อเหตุเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา เบื้องต้นมีการแยกแจ้งความเป็น 2 ส่วน โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแจ้งความในข้อหา บุกรุกยามวิกาล รวมทั้งละเมิดมาตรการรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานฯ ขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งอยู่ในส่วนของบริษัทผู้รับสัมปทาน ก็แจ้งความข้อหา ทำลายทรัพย์สิน ตามคลิปภาพที่ปรากฏ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |