40ปีทำธุรกิจยึดมั่นกฎหมาย'สมพร'เบิกความคดีบุตรชายถือหุ้นสื่อ


เพิ่มเพื่อน    

18 ต.ค.62 - ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ศาลรัฐธรรมนูญ ว่า เมื่อเวลา 13.00 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เบิกตัวนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ (แม่ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ)​ขึ้นเป็นพยานในคดีหุ้นสื่อบริษัท วี-ลัค มีเดียของนายธนาธร 

โดยนางสมพรยืนยันว่า การโอนหุ้นในวันที่ 8 ม.ค. เกิดขึ้นที่บ้านของนายธนาธร โดยกำหนดเวลาหลังเลิกงานแล้วให้มาเซ็นโอนหุ้นกัน  ในส่วนของเอกสารทนายความเป็นคนจัดเตรียมมา โดยรายละเอียดมอบหมายให้นางลาวัลย์ จันทร์เกษม พนักงานบริษัทที่ดูงานด้านบัญชี และนางกานต์ฐิตา อ่วมขำ พนักงานที่ดูแลด้านการเงิน เป็นผู้ประสานโดยตรงกับทนายความ  ในวันดังกล่าวทราบว่านายธนาธรอยู่ที่บุรีรัมย์แล้วจะนั่งรถกลับบ้าน  เมื่อตนเดินทางไปถึงบ้านของนายธนาธร พบว่า นายธนาธรและนายณัฐธนนท์ ไปถึงก่อนแล้ว เพราะนัดไว้ในเวลา 18.00 น. ก่อนที่ตนจะเซ็นเอกสารได้อ่านดูคร่าวๆว่าถูกต้องแล้วจึงเซ็นซื่อ   

ทั้งนี้วันดังกล่าวตนได้เตรียมเช็คมา 2 ใบ เพื่อชำระค่าหุ้น สั่งจ่ายนายธนาธร  6,750,000 บาท  โดยเช็คลงวันที่ 8 ม.ค.62  ซึ่งตนไม่รู้ว่าเช็คจะนำไปขึ้นเงินเมื่อไร สำหรับค่าป่วยการทนายความไม่ต้องจ่ายเงินเพราะเป็นทนายความของพรรค

ต่อมาศาลได้พยายามซักถามกรณีหุ้นดังกล่าว ซึ่งมีปัญหาจากการไปจดแจ้งหลังวันที่นายธนาธรสมัครรับเลือกตั้ง  นางสมพรกล่าวว่า ตนบริหารบริษัท 40 กว่าแห่ง ปกติการยื่นสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) จะเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนยื่นงบดุล  หลังการโอนหุ้นไม่ได้หมายความว่าเอกสารต้องทำเรียบร้อยในทันที ปกติก่อนการโอนหุ้นบริษัทอื่นๆ จะมีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น แต่การโอนวี-ลัคมีเดีย ดำเนินก่อนช่วงก่อนสิ้นปีทุกคนงานยุ่ง  นายธนาธรก็เตรียมตัวมาเล่นการเมือง เขาต้องถอนหุ้นออกจากเครือไทยซัมมิททั้งหมด ในส่วนของบ.วี-ลัคมีเดีย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานานจึงไม่มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น

นางสมพร ได้ชี้แจงถึงการโอนหุ้นให้หลานชาย 2 คน ในวันที่  11 ม.ค.62 คือนายทวี จรุงสถิตพงศ์  หรือบี และนายปิติ จรุงสถิตพงศ์  หรือเอ เนื่องจากตนเสียดายที่ต้องปิดบ.วี-ลัคมีเดีย  เพราะนางรวิพรรณที่เคยบริหารจนกิจการมีผลประกอบการดี ก็มีลูกตามมาติดๆอีกหลายคน จึงอยากให้หลานเข้ามาทำบริษัท ไม่ใช่บริษัทขาดทุนแล้วอยากปิดบริษัท  โดยนายทวีเรียนจบนิเทศศาสตร์มาโดยตรงมีความสนใจ จึงขอให้นายปิติ (พี่ชาย) มาช่วยเพราะบ.วี-ลัคมีเดีย ไม่มีพนักงานเหลืออยู่แล้ว  ตนจึงตกลงโอนหุ้นทั้ง 2 ก้อนไปให้หลานชาย เพื่อฟื้นฟูบริษัท เป็นการโอนให้หลานไม่ใช่การขาย ซึ่งหลานทั้ง 2 คนนี้ เป็นหลานแท้ๆ พี่ชายคนโตของตนเสียชีวิตไปเกือบ 20 ปี ที่ผ่านมาตนอุ้มชูหลานทั้ง 2 คน มาตลอด  หลังจากหลานไปเรียนรู้แผนงานได้กลับเสนอตนให้ลงทุนเพิ่มในบ.วี-ลัคมีเดียอีกหลายล้านบาท แต่ตนตัดสินใจไม่ลงทุนเพิ่มเพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่ตกเทรนแล้ว  จึงให้หลานทั้ง 2 คน โอนหุ้นกลับมา 

จากนั้นจึงมีการเจรจากับลูกหนี้บางรายให้ทยอยจ่ายหนี้  โดยลดหนี้ให้ครึ่งหนึ่งเพื่อให้สามารถปิดบัญชีได้เร็ว จึงเป็นเหตุให้การปิดบัญชีบริษัททำได้ในเดือนมิ.ย.62

นอกจากนี้ นางสมพรยังเบิกความด้วยว่า เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 23 ปีหลังเรียนจบจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อแฟนมาจีบก็แต่งงานเมื่ออายุ 24  ปี จนถึงขณะนี้อายุ 68 ปีแล้ว  ในการบริหารงานตลอด 40 ปี ตนยึดมั่นในกฎหมาย รวมถึงกรอบเวลาต่างๆในกฎหมาย แต่การโอนหุ้นบ.วี-ลัคมีเดียแตกต่างจากหุ้นบริษัทอื่นเพราะเป็นการโอนหุ้นภายในกันเอง จึงไม่มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น นอกจากนั้น ในวันที่ 8 ม.ค.62 มีการเซ็นโอนหุ้นในเครือไทยซัมมิทหลายบริษัท แต่มีการชำระเงินเฉพาะบ.วี-ลัคมีเดีย ส่วนหนึ่งเพราะต้องการปิดบริษัทนี้ และการนำเงินจำนวนมากมาชำระค่าหุ้นหลาย 10 บริษัทต้องใช้เวลาเตรียมการนานพอสมควร  ส่วนการโอนหุ้นให้หลานชายทั้ง 2 คน ก็เป็นการโอนให้ไปบริหารฟรีๆ แต่ในต้นขั้วเอกสารระบุว่ามีการชำระค่าหุ้นในราคาพาร์ 10 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในการไต่สวนพยานปากนางสมพรเป็นไปอย่างผ่อนคลาย ศาลไม่ได้ซักถามอย่างกดดันหรือตึงเครียด  เมื่อเห็นว่านางสมพรไม่เข้าใจ หรือมีอาการงุนงงกับคำถามของทนายฝ่ายผู้ถูกร้อง ก็ช่วยอธิบายคำถามพร้อมระบุว่า "ทนายความซักคุณแม่เวียนหัวเลย"  

ขณะที่นางสมพรได้เบิกความด้วยอาการตื่นเต้น กล่าวคำเรียกแทนตัวเอง ว่าข้าพเจ้าบ้าง หรือหนูบ้าง หลังเสร็จสิ้นการเบิกความนางสมพรยกมือไหว้ขอบคุณศาลพร้อมกล่าวว่า “หนูก็ตื่นเต้น”


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"