ประชุมถกงบประมาณ 3.2 ล้านล้านบาทแล้ว “ประยุทธ์” อารมณ์ดีแจงไม่มีมั่วซั่วอนุมัติงบกลาง แนะทั่นผู้ทรงเกียรติส่องให้ละเอียด อย่าเอาแต่จ้องจับผิด “เสรีพิศุทธ์” ยังอารมณ์ค้างเรื่องถวายสัตย์ฯ อัดยังไม่ถือเป็นรัฐบาลที่สมบูรณ์จะเสนอกฎหมายงบประมาณได้อย่างไร พร้อมขู่ประธานสภาฯ หากดึงดันถกงบเท่ากับช่วยตีตรามีส่วนผิดด้วย ฝ่ายค้านรุมถล่มเป็นนายกฯ ขาดดุลมากสุด แต่งบกลาโหมกลับโตสวนทาง
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 1 ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษในเรื่องด่วนเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ
โดยก่อนประชุม นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรกล่าวว่า ได้เตรียมความพร้อมสำหรับการพิจารณา โดยการกำหนดเวลาให้ฝ่ายค้านและรัฐบาลได้อภิปรายฝ่ายละ 18 ชั่วโมง ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่นานที่สุดที่เคยมีการพิจารณามา สำหรับเวลารวมของการพิจารณาจะใช้เวลา 3 วัน ซึ่งที่ผ่านมาจะใช้เวลาเพียง 2 วันเท่านั้น แต่เนื่องจากไม่มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ โดยสภามานาน 5-6 ปีแล้ว จึงถือเป็นโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายอย่างเต็มที่ และเป็นโอกาสให้รัฐบาลได้ชี้แจง
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางถึงรัฐสภาก่อนถึงวาระประชุมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยทันทีที่มาถึงนายกฯ กล่าวทักทายและพูดคุยกับนายปรีดา บุญเพลิง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคครูไทยเพื่อประชาชน ที่กำลังรอขึ้นลิฟต์อยู่ โดยพูดคุยถึงการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคอีสาน โดยสอบถามว่า ส.ส.มาประชุมกันครบแล้วหรือไม่ ทั้งนี้ รับฟังมาตลอดไม่ว่าจะโครงการขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะใช้เวลา 2 ชั่วโมงเต็มชี้แจงเลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า "ยังไม่ทำอะไรเลยก็มาถามแล้ว ขอฉันทำงานก่อน ใจเย็นๆ สื่อทำใจร่มๆ หน่อย ถามทุกวัน"
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวอย่างอารมณ์ดีเช่นกันว่า พร้อมๆ ไม่มีปัญหา
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงกรณีรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.จะลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ว่าหากใครเห็นว่าลงมติไม่ได้ก็แล้วแต่ ก็ว่าไป ไม่ต้องไปเถียงกัน แต่พอถึงเวลายกมือโหวตก็ยกมือโหวตก่อน ใครเห็นว่าไม่ถูกต้องก็ไปร้องศาลเพื่อวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐาน ไม่ต้องตกใจ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น
ในเวลา 12.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้ชี้แจงถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ว่ามีวงเงินไม่เกิน 3,200,000,000,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยรับงบประมาณเป็นจำนวน 3,137,290,534,200 บาท และเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 62,709,465,800 บาท ซึ่งงบประมาณเป็นไปตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และนโยบายสำคัญเร่งด่วน โดยเศรษฐกิจไทยในปี 2563 คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 3-4% แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คาดว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในช่วง 0.8- 1.8% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลประมาณ 5.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจนว่ากระทรวงและหน่วยรับงบประมาณต่างๆ ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ.2561-2580) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ.2561-2580) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564) แผนการปฏิรูปประเทศ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ.2560-2564) และแผนปฏิบัติราชการของกระทรวงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (พ.ศ.2558-2573) กรอบแนวคิดการพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 นโยบายสำคัญ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 รวมทั้งการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางในการพัฒนาและการจัดสรรทรัพยากรของประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ลั่นไม่อนุมัติงบมั่ว
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงการใช้จ่ายงบกลางว่า ประกอบด้วย เงินเบี้ยหวัด เงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินเดือนข้าราชการ เงินสำรองสมทบและชดเชยของข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ ถามว่ากฎหมายระบุไว้ตรงนี้ งบต่างๆ เหล่านี้ต้องใช้งบกลาง ถ้างบกลางมีกว่า 5 แสนล้าน แต่งบเหล่านี้ใช้ไปกว่า 4 แสนบาทแล้ว ส่วนที่เหลือกว่า 1 แสนล้านบาทไม่ใช่นายกฯ อนุมัติโครมๆ ยืนยันว่าไม่มี ไม่เคยอนุมัติให้แบบนี้ การใช้งบกลางต้องทำแผนงานโครงการขึ้นมา แล้วพิจารณาใน ครม. ตนเองอนุมัติเองไม่ได้
“เงินในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ 100 ล้านบาท เอาไปจังหวัดนี้ เขาขอก็ให้ไป แต่ก็ต้องบริหารให้อยู่ทางโน้น การใช้จ่ายงบกลางเป็นแบบนี้ ขอให้เข้าใจด้วย งบเร่งด่วนน้ำท่วมอะไรต่างๆ เหล่านี้ เรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หลายคนก็มี ผมได้ยินแว้บๆ เมื่อกี้นี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ไม่รู้ หรือฝันก็ไม่รู้” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า อยากฝากให้ทุกคนช่วยกรุณาศึกษารายละเอียด แต่อย่าศึกษาเฉพาะประเด็นที่จะสร้างความไม่เข้าใจต่อกัน ถ้าถามมาอธิบายมาก็รับฟัง และคิดว่ารัฐมนตรีทุกคนก็รับฟัง และยังมีการพิจารณาวาระสองต่อไป วันนี้อยู่ในวาระแรกเท่านั้นเอง ทั้งนี้ขอร้องว่าอย่าไปดูเฉพาะยอดวงเงินของกระทรวงเขา ต้องดูรายละเอียดข้างในว่ามีการทำงานอย่างไร ซึ่งตัวเลขทั้งหมดคือตัวเลข 3.2 ล้านล้านบาท ที่มีการแบ่งเป็นงบรายจ่ายประจำ งบกลางและงบต่างๆ ไปดูว่างบกระทรวงศึกษาฯ ทำไมถึงน้อยลง ก็เพราะเอาไปเพิ่มให้กระทรวงการอุดมศึกษาฯ แล้วจะมาบอกว่างบการศึกษาลดลงได้อย่างไร ไปดูงบของกระทรวงกลาโหม ทำอย่างไรเขาซื้ออะไรแค่ไหน ตรงไหน
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกผู้ทรงเกียรติจะให้การสนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ฉบับนี้ เพื่อที่รัฐบาลจะยึดถือเป็นหลักในการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์แก่ชาติและประชาชนต่อไป ซึ่งการทุจริตก็เป็นอีกเรื่องไปตรวจสอบกันมา มีองค์กรต่างๆ ทั้งหมดที่ตรวจสอบ ซึ่งก็มีการตรวจสอบมาอย่างนี้ 5 ปีรัฐบาลที่ผ่านมาหรือรัฐบาลสมัยก่อนก็โดนทั้งนั้น แต่ชี้แจงได้ก็จบ ขอให้เข้าใจตรงนี้ด้วยเจตนาของผม ไม่ได้จะทำอะไรเพื่อใคร ผมเห็นสายตาประชาชนเวลาไปเยี่ยมตามต่างจังหวัดบางทีก็จุกคอเหมือนกัน เขาไม่มีอาชีพและไม่รู้ว่าจะทำอะไร ซึ่งคนเหล่านี้มีจำนวนมาก” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าความมั่นคงไม่เกิดขึ้น ความมีเสถียรภาพไม่เกิด เศรษฐกิจก็พัฒนาไม่ได้ ก็เห็นตัวอย่างในต่างประเทศแล้ว เราไม่ต้องการเดินไปสู่จุดนั้น ก็หวังอย่างยิ่งว่าทุกท่านคงให้ความเห็นชอบ ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา แต่กรุณาดูทั้งหมด หวังว่าจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์ที่รัฐบาลจะทำงานให้ท่านได้ ซึ่งต้องการแบบนั้น ตรงนั้นตรงนี้เป็นอย่างไรก็สอบถามกันมาได้หรือไม่ แทนที่จะมาว่ากันไปกันมามันไม่เกิดประโยชน์
จากนั้น นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายว่า ฟังที่ พล.อ.ประยุทธ์แถลงแล้วซาบซึ้ง เพราะต้องการเห็นบ้านเมืองให้เจริญรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีคำถามกลับไปยังนายกฯ ว่าทำไมเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ไม่ทำอะไรเลย และต้องยอมรับว่ารัฐบาลนี้มีปัญหาในด้านความชอบธรรม ซึ่งอาจสังเกตได้จากการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ และการแถลงนโยบายไม่ได้อธิบายถึงแหล่งที่มาของงบประมาณ และไม่ได้แสดงถึงความคุ้มค่า
“อยากฝากไปยังรัฐบาลว่า อยากให้รัฐบาลนำ พ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่เสนอมาวันนี้กลับไปร่างใหม่ เนื่องจากงบประมาณฉบับนี้ไม่มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง และไม่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในภาวะวิกฤติได้” นายสมพงษ์กล่าว และว่า ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา งบของกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน และในปีนี้มีการเพิ่มขึ้นถึงกว่า 6 พันล้านบาท รายจ่ายเหล่านี้ไม่ได้สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน นอกจากนี้ การแจกเงินที่ผ่านมาก็แจกแบบสิ้นคิด ด้วยเหตุผลทั้งหมดทำให้ไม่สามารถเห็นชอบที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้
ข้องใจถวายสัตย์ฯ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย (สร.) โดยอภิปรายว่าจะไม่เข้าประเด็นงบประมาณ เพราะรัฐบาลไม่มีอำนาจในการมาแถลงนโยบายอะไรต่างๆ ด้วยซ้ำ และยังเป็นรัฐบาลที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เนื่องจากถวายสัตย์ฯ ไม่ครบ แถลงนโยบายโดยไม่มีแหล่งที่มาของเงิน โดยทุกวันนี้ในความคิดของพรรคเสรีรวมไทย เรายังมีรัฐบาล รวมทั้งนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้
ทั้งนี้ นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานได้ท้วงติง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ขอให้อภิปรายในกรอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เพราะเรื่องการถวายสัตย์ฯ ถือว่าจบไปแล้ว ทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้แย้งว่ากำลังอภิปรายถึงรัฐบาลที่ไม่มีอำนาจ ประธานในที่ประชุมได้เรียนหนังสือมาหรือเปล่า ขอให้ท่านวางตัวเป็นกลาง ที่ผ่านมาไปฉีดยาที่ห้องพยาบาล เห็นนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เดินเข้ามาในสภา มีคนติดตามเป็นขบวน และเห็นท่านประธานเดินตามหลัง เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่ ที่ไปพินอบพิเทานายอนุทิน อุตส่าห์ไม่พูด ทำให้นายศุภชัยแย้งว่า พล.ต.เสรีพิศุทธ์พูดนอกประเด็น และคนเป็นกลางไม่ใช่เรื่องการเดินตามหลังใคร แต่ต้องพิสูจน์ด้วยการทำหน้าที่ ขอให้พูดให้ตรงประเด็นด้วย
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ยังอภิปรายต่อว่า รัฐบาลมีที่มาไม่ถูกต้อง พรรคฝ่ายค้านพยายามให้โอกาสรัฐบาล แต่ยังไม่เห็นความรับผิดชอบจากนายกฯ ซึ่งประธานสภาฯ ส.ส. และประชาชนก็รู้ดีว่ารัฐบาลไม่ชอบด้วยกฎหมาย รัฐบาล และ ครม.จะหน้าด้านทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะแต่งตั้งข้าราชการหรือมีมติ ครม.ต่างๆ ก็ทำไป เพราะไม่เกี่ยวข้องกับสภา แต่เมื่อ ครม.ทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ส่งมาที่สภา ประธานสภาฯ ก็รู้ว่าถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วน แต่กลับไปรับร่าง พ.ร.บ.เข้ามาในสภา และออกหนังสือเรียกประชุมไม่ถูกต้อง ท่านจะรับสิ่งที่ผิดกฎหมายให้พิจารณาได้อย่างไร เท่ากับท่านพยายามสนับสนุนรัฐบาลที่ผิดกฎหมาย
นายศุภชัยยังท้วงติงให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อภิปรายให้เข้าประเด็น ถ้าไม่เข้าเรื่องก็ขอให้นั่งลง ซึ่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ก็ยืนยันจะอภิปรายต่อ และหากไม่ให้พูดจะดำเนินคดีกับประธาน ทำให้นายชัยวุฒิ ธนาคมนุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลุกขึ้นประท้วงขอให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อภิปรายให้เข้าประเด็นด้วย เพราะพูดเนื้อเดิมวนไปมา จากนั้นนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วง และขอให้ฟัง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์พูดต่อ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวต่อว่า หากเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย และเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เข้ามา ก็จะอภิปรายในเรื่องงบประมาณ แต่เมื่อไม่ชอบแล้วก็ขอแนะนำให้ส่งคืน ครม.แล้วทำให้ถูกต้อง ทฤษฎีผลไม้เป็นพิษเป็นหลักกฎหมายสากลที่ทั่วโลกยอมรับ กรณีนี้ก็เปรียบเหมือนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่รัฐบาลไม่มีอำนาจหน้าที่ และเสนอมาให้รัฐสภาพิจารณาก็ย่อมเสียไป ไม่สามารถใช้งานได้ แต่การนำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ มาพิจารณา เท่ากับยอมรับว่าให้รัฐบาลปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่าง พ.ร.บ.ที่เป็นผลไม้พิษย่อมส่งผล คือ 1.การยอมรับมาพิจารณาเท่ากับยอมรับสัตยาบันว่า ครม.และนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่ได้ 2.ยอมรับว่าการถวายสัตย์ฯ เป็นเพียงพิธีกรรมว่าจะถวายอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 3.รัฐธรรมนูญมาตรา 161 ไม่มีความจำเป็น เพราะจะพูดถวายสัตย์ฯ อย่างไรก็ได้ 4.ยอมรับความเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย ในเรื่องการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่รัฐบาลไม่ถูกต้องส่งมาเท่ากับยอมรับรัฐบาลด้วย 5.ประธานสภาฯ เข้าข่ายปฏิบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญ ปล่อยปละละเลยให้กระทำความผิด และ 6.เมื่อประธานสภาฯ ไม่ดำเนินการยุติให้ ครม. ยุติปฏิบัติหน้าที่ จึงถือว่าประธานสภาฯ ต้องรับผิดชอบร่วมกับรัฐบาลและ ครม.ที่จะเกิดขึ้นด้วย
“ท่านประธานไม่ต้องห่วง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ อยากให้ยึดหลักกฎหมายไว้ดีกว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 141 ระบุชัดเจน ว่าให้ใช้งบประมาณของปีเดิมได้ไม่เสียหายอะไร ขอให้ประธานทำให้ถูกต้องตามกฎหมายเสีย และให้ส่งร่างกลับไปแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน พรรคเสรีรวมไทยหารือกันแล้วจะไม่ยอมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณที่ผิดกฎหมายนี้เด็ดขาด ถ้าไม่ยอมส่งกลับ และพิจารณาต่อ เราจะไม่ร่วมพิจารณาด้วย” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว
ทั้งนี้ หลังการอภิปราย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้นั่งลงสักครู่ก่อนเดินออกจากห้องประชุม ส่วน ส.ส.ของพรรคยังคงนั่งอยู่ในห้องประชุม
รุมสับงบไม่ตรงจุด
ต่อมาเวลา 13.30 น. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พรรค พท. อภิปรายว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ก่อหนี้เพื่อชดเชยงบประมาณสูงที่สุดตั้งแต่มีการจัดงบประมาณในประเทศมา มีการใช้งบมหาศาล แต่คนจนกลับเพิ่มขึ้น มีการลงทะเบียนคนจนสูงถึง 14.5 ล้านคน และยังมีการออกใบอนุญาตใหม่ให้กับอาชีพวณิพก ขณะที่เศรษฐี 5 ตระกูลมีความมั่งคั่ง มีสินทรัพย์มากถึง 1 ล้านล้านบาท ร่ำรวยเพราะทำมาหากินกับรัฐบาล ตัวเลขทรัพย์สินเกือบเท่าครึ่งหนึ่งของงบประมาณแผ่นดิน เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่เท่าเทียม พล.อ.ประยุทธ์ทำให้เราได้แชมป์ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน
“วันนี้รัฐบาลกำลังใช้เงินผิดประเภท เอาเงินที่มีไปติดอาวุธให้กองทัพ ขณะที่คนไทยกำลังลำบาก นอกจากไม่เกิดรายได้ยังต้องเสียเงินไปกับค่าซ่อมบำรุงจนกว่าจะหมดอายุการใช้เงิน สุดท้ายก็เอาไปใช้เป็นที่อยู่ของปะการัง การจัดสรรงบประมาณต้องตอบโจทย์ประเทศ แต่รัฐบาลใช้งบเพื่อความมั่นคงให้กับรัฐบาลมากกว่าความมั่นคงของประชาชน ล่าสุดอนุมัติงบกลางสร้างบ้านพักรับรองให้ผู้บัญชาการทหารเรือ แต่คนจ่ายภาษีต้องอดอยาก ไม่มีจะกิน ชาวบ้านฝากมาถามว่า พล.อ.ประยุทธ์มาจากประชาชนจริงหรือไม่ หรือท่านมาจากกองทัพ” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวและว่า สรุปคือรัฐบาลจัดสรรเม็ดเงินอย่างสิ้นหวัง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ฉบับนี้มาทางไหน กลับไปทางนั้น ขอให้กลับไปจัดสรรใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ลดรายจ่าย ชะลอการใช้งบในโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ถ้าผิดไปจากนี้จองศาลาไว้สวด จองเมรุเอาไว้เลย
นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนชาวไทย กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณใหม่ แต่ถ้ายังไม่ปรับ คิดว่ารัฐบาลใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินไป อยากให้ช่วยจัดสรรให้ทั่วถึงทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน และอยากให้รัฐบาลส่งเสริมภาคเกษตร ซึ่งงบประมาณที่ทุ่มตรงนี้มีจำนวนน้อยมาก ท่านประธานเคยได้ยินหรือไม่ ประเทศไทยมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง ครอบครัวมั่นคง ประชาชนมั่นคง ประเทศก็จะมั่นคงไปด้วย แต่การจัดสรรงบแบบนี้เข้าลักษณะประเทศไม่มั่นคง แต่นายพลมั่งคั่ง ซึ่งไม่อยากให้เป็นแบบนั้น อยากให้รัฐบาลให้ความสนใจกับรากหญ้ามากกว่านี้
ในเวลา 17.00 น. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรค พท. อภิปรายว่า 5 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์พิสูจน์แล้วว่าเป็นนายกฯ ที่ทำงบประมาณขาดดุลมากที่สุด และยังเป็นงบที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุนที่ออกดอกออกผลด้วย โดยเฉพาะงบของกระทรวงกลาโหมนั้น หากย้อนดูตั้งแต่ปี 2549 ถือว่ากระโดดขึ้นมาเกือบ 300% ที่กระทรวงใดวันนี้ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนควรต้องปรับลด กระทรวงใดที่มีความจำเป็นต่อปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนต้องปรับเพิ่ม
“การตั้งงบเพื่อเงินชดเชยเงินคงคลังนั้น ต้องมีไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาท แต่กลับไม่ปรากฏในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เลย หากร่าง พ.ร.บ.ผ่านวาระแรกไปได้ ในชั้น กมธ.ต้องบรรจุรายละเอียดเอาไว้ด้วย” นายจุลพันธ์ระบุ
ทั้งนี้ ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ต่อมาไม่คึกคักเท่าที่ควร สมาชิกทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลสลับกันอภิปรายอย่างกว้างขวาง โดย ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลยังคงอภิปรายสนับสนุน แต่ก็ได้แนะนำการใช้จ่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น ในขณะที่ ส.ส.ฝ่ายค้านยังคงอภิปรายโจมตีการจัดงบไม่สมดุลและไม่มีทิศทางลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ
ขณะเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์สมาคมเรื่อง คัดค้านการเพิ่มงบประมาณกระทรวงกลาโหมสนองทหารการเมือง โดยเรียกร้องให้ ส.ส.ผลักดันให้ตั้งกรรมาธิการพิจารณางบในวาระ 2 กล้าหั่นงบกระทรวงกลาโหมลงเสียกึ่งหนึ่ง เพื่อประโยชน์โดยรวมของประเทศ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |