ฮอยอันฉันชอบเธอ


เพิ่มเพื่อน    

(บรรยากาศบนถนนเลียบแม่น้ำทูโบน)

    นักท่องเที่ยวที่มาเยือนฮอยอันโดยมีเวลาจำกัดมักจะได้สัมผัสชื่นชมเฉพาะเมืองโบราณ มรดกโลกริมแม่น้ำทูโบน ซึ่งต้องยอมรับว่างดงามและเปี่ยมเสน่ห์จริงๆ แต่หากว่ามีเวลาเหลือสักหน่อยก็สามารถไปเที่ยวชายทะเลได้ ต้องไม่ลืมว่าฮอยอันเป็นเมืองท่า อยู่ใกล้ปากแม่น้ำทูโบนที่เชื่อมต่อกับทะเลตะวันออก ชายหาดมีชื่อ 2 แห่งอยู่ห่างออกไปแค่ 4-5 กิโลเมตรเท่านั้น
    หลังจากเช่าจักรยานใกล้ๆ ที่พักในราคาวันละ 20,000 ดองแล้วก็ปั่นออกไปบนถนน Cua Dai ตอนเวลาราวบ่าย 2 โมง แวะกินข้าวผัดที่ร้านอาหารขนาดใหญ่ริมทาง มีลักษณะคล้ายเบียร์การ์เด้น แต่เวลากลางวันยังไม่มีลูกค้ามาดื่มเบียร์ ผมสั่งข้าวผัดสับปะรดใส่หมู หนุ่มน้อยเสิร์ฟมาในกระทะดินเผา หมูกลิ่นไม่ดี สับปะรดแห้งไป ส่วนข้าวก็ออกแข็งๆ กรอบๆ ราคาจานละประมาณ 100 บาท ถือว่าผิดหวังแต่ก็ฝืนกินเกือบหมดเพราะร่างกายต้องใช้พลังงาน
    ชื่อถนนคัวได๋ (Cua Dai) คงมาจากหาดคัวได๋ที่เป็นปลายทางห่างออกไปจากเขตเมืองเก่าราว 4 กิโลเมตร ปั่นตรงไปเรื่อยๆ ก็ถึง 3 แยกที่ถนนคัวได๋เชื่อมกับถนนเลียบหาด มีคนท้องถิ่นกวักมือเรียกให้ปั่นข้ามไปหาเขาเพื่อจอดจักรยานใต้ร่มต้นมะพร้าวหน้าชายหาด พวกนี้คอยเก็บเงินค่าจอดจักรยานและมอเตอร์ไซค์ มีกลุ่มคนนั่งล้อมวงกินเบียร์และเปิดเพลงเสียงดังตรงทางลงหาด ผมจึงปั่นเลี้ยวขวาไปตามถนนเลียบหาด สาวรุ่นชาวตะวันตกในชุดว่ายน้ำทูพีซ คงเพิ่งขึ้นมาจากน้ำทะเล รอให้ผมปั่นจักรยานผ่านไปก่อนแล้วเธอจึงเดินข้ามถนนไปยัง Hoi An Beach Resort ที่พักของเธอ

(หาดคัวได๋ เมืองฮอยอัน สู้หาดหมีเคที่ดานังไม่ได้เลย)

    เห็นศาลเจ้าเล็กๆ ห่างไปจากจุดที่ถูกกวักมือเรียกราว 100 เมตร ผมก็นำจักรยานเข้าไปจอดแล้วเดินขึ้นเนินทรายลงไปยังชายหาดคัวได๋ มีแนวกระสอบทรายกันคลื่นวางอยู่เป็นแถวยาว คาดว่าบริเวณนี้คงจะมีคลื่นแรงเป็นประจำ เวลานี้น้ำกำลังขึ้นทำให้แนวชายหาดแคบลงไปอีก ส่วนเม็ดทรายมีลักษณะค่อนข้างหยาบ สรุปแล้วไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ อันที่จริงผมอคติตั้งแต่มีคนคอยเก็บค่าจอดจักรยานแล้ว
    เมื่อหาดคัวได๋สอบไม่ผ่าน ผมก็คิดว่าปั่นขึ้นเหนือไปยังหาดอันบาง (An Bang) ที่ชาวเน็ตให้คะแนนมากกว่าหาดคัวได๋อยู่นิดหน่อย แต่ปั่นเลยแก๊งเก็บค่าจอดจักรยานไปได้ไม่ถึง 200 เมตร พอนึกถึงระยะทาง 4 กิโลเมตรกลางแดดจัดก็ถอดใจ กลัวจะผิดหวังและต้องปั่นกลับไปยังเขตเมืองเก่าอีก 5 กิโลเมตร (อีกเส้นทางหนึ่ง) เห็นมีทางลงหาดคัวได๋อีก 3-4 ทางเป็นอย่างน้อย แต่ล้วนเขียนไว้ว่า “หาดส่วนบุคคล” คงเป็นรีสอร์ต ร้านอาหาร หรือไม่ก็เก็บเงิน จึงปั่นกลับเขตเมืองเก่าทันที
    ปรากฏว่าที่หน้าตลาดฮอยอันซึ่งเป็นอาคารตลาดขายเสื้อผ้าและของฝากทั่วไป (ไม่ห่างจากตลาดขายอาหาร) ผมต้องจ่ายค่าจอดจักรยานอยู่ดี เจ๊คนหนึ่งบอกให้เข้าไปจอดชิดกับตัวอาคาร ยื่นตั๋วให้เพื่อแลกกับเงิน 5,000 ดอง
    ผมถามราคาฟิลเตอร์ stainless สำหรับทำกาแฟหยดหรือดริปที่เรียกว่า “ฟินคอฟฟี่” กับแม่ค้าร้านไม่ห่างจากประตูทางเข้า เธอบอกว่าชิ้นเล็ก 50,000 ดอง ชิ้นใหญ่ 90,000 ดอง ผมต่อชิ้นใหญ่เหลือ 50,000 ดอง โดยจะซื้อ 2 ชิ้น พอถามหากาแฟ แม่ค้านำกาแฟบดห่อเล็กๆ มาให้ดู น่าจะประมาณ 100 กรัม บอกราคา 60,000 ดอง ผมต่อเหลือ 40,000 ดองเพื่อซื้อ 2 ห่อ ถามหาชาอบดอกบัว แม่ค้าขายห่อเล็กๆ มาให้ในราคา 40,000 ดอง แล้วเธอก็โทรหาเพื่อนเพื่อให้นำของดีและห่อใหญ่มาให้ บรรจุในห่อสุญญากาศอย่างดี ห่อละ 100,000 ดอง ต่อได้เหลือ 90,000 ดอง แม่ค้าพยายามขายของให้อีกหลายอย่าง ผมบอกว่าพอแล้วเพราะพื้นที่กระเป๋าไม่พอใส่ เธอถามว่ามีแฟนหรือยัง จะจับคู่ให้กับรุ่นน้องอายุ 32 ปี แล้วก็ให้ดูรูปจากโทรศัพท์มือถือ หากสนใจจะนัดมาให้เจอกันในวันพรุ่งนี้ ผมบอกว่าจะลองไปชงชาชิมดูก่อน หากรสชาติดีจะมาซื้อเพิ่ม
    จากนั้นออกไปรับจักรยานแล้วจูงเข้าโซนที่นักท่องเที่ยวหนาแน่น ค่อยๆ แหวกไปได้ไม่ไกลก็เจอร้านที่ขายผลิตภัณฑ์ชา-กาแฟโดยเฉพาะ ชื่อ An Phu แทบจะร้องไห้ออกมาดังๆ กลางฝูงชน กาแฟร้าน “อันฟู” มีให้เลือกหลากหลายมาก ทั้งกาแฟขี้ชะมด กาแฟขี้เพียงพอน กาแฟจากไฮแลนด์ กาแฟจากดาลัต กาแฟแบบดั้งเดิม กาแฟคั่วพิเศษ มีทั้งแบบเมล็ดและที่บดแล้ว แต่ละชนิดยังมีเกรด 1-เกรด 2-เกรด 3 แพ็กเกจล้วนสวยงามเหมาะแก่การซื้อเป็นของฝาก ส่วนชาอบดอกบัวก็มี รวมถึงฟิลเตอร์กาแฟที่มีทั้งแบบเซรามิกและ stainless ชิ้นเล็กราคาแค่ 25,000 ดอง ชิ้นใหญ่ 40,000 ดองเท่านั้น
    ขอนอกเรื่องมายังคำว่า Stainless หน่อยนะครับ หน่วยงานทางด้านภาษาของเรายังกำหนดให้เขียนว่า “สแตนเลส” อยู่เลย ทั้งที่ Stain อ่านว่า “สเตน” เช่นเดียวกับ Halloween ที่ให้เขียนว่า “ฮาโลวีน” ฮามากๆ เลยครับ ที “ดิจิตอล” เป็น “ดิจิทัล” มีเวลาแก้ (ให้มั่วขึ้น) หรือ Myanmar เป็น “เมียนมา” โดยไม่มี “ร์”
    กลับมายังเรื่องชากาแฟอีกครั้งนะครับ ผมซื้อแค่ชาอบดอกบัวมา 1 ห่อ ขนาด 50 กรัม ราคา 75,000 ดอง หรือเท่ากับ 100 บาท บอกน้องคนขายว่าจะไปคำนวณเงินดองที่เหลืออยู่เพื่อกลับมาซื้อเพิ่มในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า  

(ริมแม่น้ำทูโบน เมืองเก่า-เมืองท่าฮอยอัน)

    จากนั้นจูงจักรยานแหวกฝูงชนออกไปยังริมแม่น้ำทูโบน ร้านอาหารบนถนนริมแม่น้ำร้านหนึ่งเขียนป้ายเชิญชวน “เบียร์สด 8,000 ดอง” ตกแก้วละ 11 บาทเท่านั้น ผมนึกว่าเป็น “เบียร์เฮย” ซึ่งเป็นเบียร์สดราคาถูกขายวันต่อวัน นิยมดื่มกันมากในฮานอยและทางเหนือของเวียดนาม พอเข้าไปนั่งแล้วถามชายที่น่าจะเป็นเจ้าของร้าน เขาบอกว่าไม่ใช่เบียร์เฮย แต่เป็นเบียร์สด สั่งมาดื่มปรากฏว่ารสชาติออกไปทางเบียร์เสียมากกว่า จึงสั่งน้ำอัดลมมาดื่มแทน แล้วออกจากร้านปั่นจักรยานเลียบแม่น้ำทูโบนไปยังสะพานญี่ปุ่นเพื่อถ่ายรูปเพิ่มเติมจากเมื่อคืนวาน

(มองสะพานญี่ปุ่นในระยะใกล้ น้ำยังไม่เสียแต่มีขยะจากนักท่องเที่ยวลงไปปะปนให้เป็นกังวลบ้างแล้ว)

    เมืองฮอยอันนั้นเป็นชุมชนเก่าแก่มาตั้งแต่ยุควัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า “ซาหวิ่น” เมื่อกว่า 2 พันปีก่อน กระทั่งยุคชนชาติจามเรืองอำนาจระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 9-10 ได้เป็นเมืองท่าที่ดึงดูดให้พ่อค้านักเดินเรือทั้งจีน อาหรับ และเปอร์เซียให้เข้ามาค้าขาย เมืองท่าแห่งนี้เฟื่องฟูขึ้นไปอีกนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ในยุคที่ขุนนางตระกูลเหงียนลงมาปกครอง มีพ่อค้าชาวญี่ปุ่น อินเดีย สยาม ยุโรปทั้งโปรตุเกส ฝรั่งเศส และอังกฤษ เข้ามาแลกเปลี่ยนค้าขาย สินค้าจากฮอยอันที่ได้รับความนิยมมากคือถ้วยชามเซรามิก จนมีการเรียกเส้นทางการเดินเรือที่ออกจากท่าแห่งนี้ว่า “ทางสายเซรามิก”

(ยามเช้าที่เมืองเก่าฮอยอัน กลุ่มนักท่องเที่ยวยังไม่ออกมาเดินให้เห็นมากนัก)

    ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ฮอยอันได้รับการยอมรับจากพ่อค้าชาวจีนและญี่ปุ่นว่าเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการค้าขายที่ดีที่สุดในเอเชียเลยทีเดียว แต่ในปลายศตวรรษนี้ขุนนางตระกูลเหงียนถูกโค่นล้มโดยกบฏเต่ยเซิน นำโดยสามพี่น้องจากหมู่บ้านเต่ยเซินที่ต่อมากลายเป็นราชวงศ์เต่ยเซินปกครองเวียดนาม ฮอยอันก็ถูกละทิ้ง กระทั่ง “เหงียนอันห์” ลูกหลานขุนนางตระกูลเหงียนเพียงคนเดียวที่หนีรอดจากการฆ่ากวาดล้างได้กลับมามีชัยเหนือราชวงศ์เต่ยเซินด้วยความช่วยเหลือทางด้านอาวุธจากพวกฝรั่งเศส เหงียนอันห์ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิซาลองและได้มอบสิทธิพิเศษทางการค้าให้กับฝรั่งเศสที่ได้ไปจัดตั้งเมืองท่าใหม่ที่ดานัง ฮอยอันก็หมดความสำคัญต่อเนื่องยาวนานเกือบ 200 ปี การถูกหลงลืมนี้กลับกลายเป็นข้อดีอยู่บ้าง เพราะฮอยอันไม่ได้รับผลกระทบจากการขยายตัวของเมือง ลักษณะเฉพาะของอาคารบ้านเรือนในเมืองเก่าฮอยอันจึงยังคงอยู่ยงเหมือนเมื่อวันวาน

(คาซิเมียร์ คเวตคอฟซกี สถาปนิกจากโปแลนด์ผู้เป็นที่รักของชาวเวียดนาม)

    หลังสงครามเวียดนาม องค์การยูเนสโกได้ขอให้เวียดนามพิทักษ์และปฏิสังขรณ์สถาปัตยกรรมโบราณหลายแห่ง รวมถึงเมืองเก่าฮอยอัน จึงได้เกิดความร่วมมือขึ้นระหว่างเวียดนามและโปแลนด์ที่ขณะนั้นยังปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ โปแลนด์ได้ส่งสถาปนิกนาม “คาซิเมียร์ คเวตคอฟซกี” มาเป็นหัวหน้าโครงการ เริ่มทำงานตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 จนฮอยอันฟื้นคืนชีพอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ รูปแกะสลักหินของเขาตั้งอยู่ในสวนเล็กๆ กลางเมืองเก่าฮอยอัน หลังจากเขาเสียชีวิตลงเมื่อปี ค.ศ.1997 เป็นเหมือนอนุสรณ์ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามและโปแลนด์

(เรือสินค้าจำลองย่อขนาดจากญี่ปุ่นในยุคโชกุนโตกุกาวะข้อมูลระบุว่าระหว่างปี ค.ศ.1604-1634 มีเรือจากญี่ปุ่นเทียบท่าที่ฮอยอันถึง 86 ลำ)

    ด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานแบบพื้นเมือง อิทธิพลจากจีนและญี่ปุ่น และตะวันตกในยุคต่อมา เมืองเก่าฮอยอันประกอบด้วยอาคารโครงสร้างไม้ ผนังไม้และอิฐ 1,107 หลัง เรียงต่อกันลักษณะคล้ายๆ ตึกแถว มีถนนเส้นหลักเลียบแม่น้ำทูโบน และมีเส้นรองเหนือขึ้นไปขนานกับเส้นหลัก มีซอยเล็กๆ เชื่อมถึงกันเป็นโครงข่าย เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งให้องค์การยูเนสโกประกาศรับรองฮอยอันเมืองเก่าพื้นที่ประมาณ 187 ไร่เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ.1999 และมีพื้นที่กันชนอีกประมาณ 1,745 ไร่
    การท่องเที่ยวฮอยอันจึงเริ่มมีขึ้นอย่างจริงจังได้แค่ 2 ทศวรรษเท่านั้น สำหรับคนไทย กระแสท่องเที่ยวเมืองเก่าแห่งนี้คงเริ่มมาแรงจากละครเรื่อง “ฮอยอันฉันรักเธอ” เมื่อ 14 ปีก่อน ออกอากาศทางช่อง 3 นำแสดงโดย “แดน วรเวช” และ “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ”
    ฟ้าใกล้จะมืดลง ผมนำจักรยานไปคืนแล้วขึ้นห้องพักเพื่ออาบน้ำ ดูเทนนิสนัดชิงชนะเลิศศึกวิมเบิลดันจบเซตแรกแล้วเดินกลับเข้าไปยังเมืองเก่า กินเคาเลา (Cao Lau) ก๋วยเตี๋ยวแห้งแบบฉบับฮอยอัน ในชามมีเส้นก๋วยเตี๋ยวออกสีเหลืองๆ หมูหมักสไลซ์ชิ้นใหญ่ติดมันค่อนข้างเยอะ ถั่วงอก ผักแปลกๆ หลายอย่าง และซุปขลุกขลิกได้กลิ่นน้ำปลาค่อนข้างแรง โรยขนมปังทอดแผ่นสี่เหลียมแข็งเหมือนหนังหมูมาจำนวนหนึ่ง และเสิร์ฟผักมาในจานอีกใบต่างหาก ผมกินเป็นครั้งแรกรู้สึกรสชาติพอใช้ได้ ตอนจ่ายเงินนึกว่าแม่ค้าจะโชว์ธนบัตรให้ดูว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ แต่แกพูดภาษาเวียดนามกลับมาไม่หยุดหย่อน ผมจึงยื่นใบละ 2 หมื่นให้ 2 ใบ กำลังจะเดินออกมา แกจับแขนแล้วคืนให้ 15,000 ดอง เท่ากับว่าเคาเลาราคาชามละ 25,000 หรือประมาณ 35 บาท

(สะพาน Bridge of Lights เชื่อมฝั่งฮอยอันเมืองเก่ากับเกาะกลางแม่น้ำทูโบน)

    เห็นบาร์สไตล์อังกฤษขนาดค่อนข้างใหญ่จึงเปิดประตูเข้าไป ชาวตะวันตกนั่งกันเต็มไปหมด มีจอทีวีหลายจอนึกว่าพวกเขากำลังดูเทนนิส ที่ไหนได้กำลังดูคริกเก็ตชิงแชมป์โลกนัดชิงชนะเลิศระหว่างอังกฤษกับนิวซีแลนด์ โชคยังเข้าข้างผมอยู่บ้าง ทางร้านฉายเทนนิสให้ดู 1 จอ แต่ต้องดูรวมๆ กับพวกอังกฤษและพวกที่ไม่ชอบอังกฤษ ซึ่งล้วนมาจากประเทศในเครือจักรภพ
    มีฝรั่งอายุเกือบๆ 50 ปี อ้วนลงพุงเข้ามาคุยด้วย แนะนำว่ามาจากสกอตแลนด์ ถามผมว่ากำลังดูอะไร ผมตอบเทนทิส เขาย้อนว่าทำไมไม่ดูคริกเก็ต ผมตอบว่าดูไม่เป็น มีไม่กี่ประเทศในโลกที่เล่นกีฬาชนิดนี้ ถ้าไม่พวกอังกฤษก็เป็นอดีตเมืองขึ้นของอังกฤษ เขาว่าเขาก็ไม่ชอบดูเหมือนกัน แต่อยากเห็นอังกฤษแพ้ กีฬาทุกชนิดที่แม้สกอตแลนด์ไม่ได้ร่วมแข่งขันแต่หากมีอังกฤษแข่งเขาก็พอใจจะดูเพื่อจะได้เชียร์ตรงข้าม ความพ่ายแพ้ของอังกฤษคือชัยชนะของเขา เวลานี้เขารู้สึกดีมากที่นิวซีแลนด์นำอังกฤษอยู่ ผมมาทราบตอนที่เขียนคอลัมน์ฉบับนี้ว่าสุดท้ายอังกฤษพลิกกลับมาชนะคว้าแชมป์โลกในช่วงซูเปอร์โอเวอร์ คล้ายๆ ไทเบรกของเทนนิส อย่างไรก็ตามผมเองดื่มเบียร์ Saigon Export แค่ขวดเดียวก็เดินกลับโฮมสเตย์ไปลุ้นนัดชิงเทนนิสวิมเบิลดันในห้องพัก
    อาจจะเป็นนัดชิงที่ลุ้นระทึกที่สุดในประวัติศาสตร์เทนนิสรายการนี้ นอวัค ยอคอวิช มือหนึ่งของโลกจากเซอร์เบีย พลิกกลับมาคว้าชัยเหนือโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ยอดนักหวดจอมเก๋าจากสวิตเซอร์แลนด์ ในการเล่น 5 เซต และไทเบรกที่ยาวนาน กินเวลารวมทั้งเกมเฉียด 5 ชั่วโมง หลังเกมเฟเดอเรอร์ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งประมาณว่าอยากให้ทุกคนรู้ว่าอายุ 37 ปี (เหลืออีกเดือนเดียวก็ 38) ยังทำอะไรได้อีกเยอะ หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกๆ คนที่คิดว่าหมดเวลาของตัวเองไปแล้ว
    เวลา 9 โมงเช้าวันต่อมาผมเช่าจักรยานอีกครั้งเพื่อปั่นไปยังเขตเมืองเก่า แวะที่ตลาดขายของฝากเพื่อเปลี่ยนกาแฟ 2 ห่อที่เพิ่งเห็นว่าเลยวันหมดอายุไปแล้ว คราวนี้ไม่จอดจักรยานหน้าตลาด โดยเลี่ยงไปจอดหน้าร้านค้าร้านหนึ่งที่ยังไม่เปิด แม่ค้าคนเดิมโทรหาเพื่อนเพื่อให้นำกาแฟมาเปลี่ยน ปรากฏว่าเพื่อนมีเฉพาะห่อละครึ่งกิโลกรัม ผมบอกเธอว่าน้ำหนักเยอะไปเพราะกระเป๋าผมไม่ได้โหลดใต้เครื่องบิน เธอจำได้ว่าขายผมไปราคาเท่าไหร่ หน้าหงอยลงนิดหน่อยแล้วควัก 80,000 ดองคืนให้ ผมกล่าวขอโทษแล้วเดินออกมาโดยไม่ได้ถามเรื่องผู้หญิงรุ่นน้องของเธอ จากนั้นปั่นไปกินมื้อเช้าที่ร้านริมถนนติดแม่น้ำทูโบน คู่รักชาวเวียดนามคู่หนึ่งนั่งโต๊ะข้างๆ ทั้งคู่ใส่เสื้อเหมือนกันเป๊ะ ฝ่ายชายสั่งเบียร์มาดื่มตั้งแต่เช้า ภาพที่เห็นทำให้ผมตื่นตั้งแต่ยังไม่ดื่มกาแฟ
    กินมื้อเช้าเสร็จผมก็ปั่นจักรยานไปยังร้าน “อันฟู” ที่ขายชา-กาแฟโดยเฉพาะ ซื้อกาแฟมาหลายชนิดด้วยกัน เลือกที่หีบห่อขนาดเล็กเพราะกังวลเรื่องน้ำหนักกระเป๋า แล้วปั่นจักรยานกลับไปคืนก่อนเช็กเอาต์ รอมินิบัสที่จองไว้กับโฮมสเตย์มารับไปส่งที่สนามบินดานัง ห่างจากฮอยอันราว 30 กิโลเมตร  
    ตอนตรวจหนังสือเดินทาง ผมเดินเข้าไปยังช่องที่เจ้าหน้าที่หนุ่มประจำอยู่ พยายามเปิดพาสปอร์ตหน้าข้อมูลส่วนบุคคลเตรียมไว้ เขาพูดเป็นภาษาไทยว่า “เปิดอะไร ดูอะไร” ผมอึ้งทันที ยื่นไปให้โดยไม่เปิดหน้าหนึ่งหน้าใด ถามเขาว่า “เคยอยู่เมืองไทยหรือครับ” เขาตอบ “ไม่เคย, ไม่เคยไปเลย”
    สาบานว่าเขาพูดไทยชัดมาก.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"