นักคิด นักเคลื่อนไหว นักปฏิบัติ อย่างอาจารย์ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่นานๆ ท่านโผล่ที และเมื่อไม่กี่วันมานี้ ท่านไปโผล่ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อแสดงปาฐกถาเนื่องในวาระครบรอบวันเกิดอาจารย์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เวียนมาถึง ในหัวข้อเรื่อง ประเทศไทยในความคิด-ความคิดในประเทศไทย ซึ่งเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสนใจ มิใช่น้อย แม้ไม่ถึงกับสร้างปฏิกิริยาบวกๆ ลบๆ ให้ใครต้องออกมาตอบโต้ หรือชื่นชม มากมายซักเท่าไหร่...
---------------------------------------------
อาจด้วยเหตุเพราะสิ่งที่ท่านอาจารย์ เสกสรรค์ ท่านได้นำเสนอเป็นปาฐกถาไว้ในวาระดังกล่าว เป็นสิ่งที่ต้องฟังกันยาวๆ ฟังแบบเนียนๆ ละเอียดๆ ถึงจะพอมองเห็นสิ่งที่ท่านพยายามชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ได้แบบคม-ชัด-ลึกกันจริงๆ เพราะถ้าลองอ่านแค่สิ่งที่พวกนักข่าวเขาตัดตอนมารายงานแบบสรุป แบบหวัดๆ โอกาสที่จะมองอะไรชัดๆ คงลำบากอยู่นิด และนั่นอาจทำให้ใครต่อใครไม่ถึงกับหยิบมาพูดถึง กล่าวถึง มากมายซักเท่าไหร่นัก แม้ว่าโดยแนวคิดและการปฏิบัติระดับถือเป็นตำนาน เป็นประวัติศาสตร์ ของอาจารย์ เสกสรรค์ เท่าที่ผ่านมา คงต้องจัดว่า...เป็นอีกรายหนึ่งที่ พูดเมื่อไหร่...คงต้องเงี่ยหูฟัง ให้ชัดๆ เข้าไว้...
----------------------------------------------
เผอิญว่า...เว็บไซต์นิตยสาร Way Magazine เขาถอดเทป ถอดความ แบบชนิดคำต่อคำ มาเผยแพร่เอาไว้ละเอียดยิบ เลยพอได้มีโอกาส ฟังกันชัดๆ ว่าผู้ที่นานๆ โผล่ที อย่างอาจารย์ เสกสรรค์ นั้น ท่านจะโผล่ออกมาในแนวไหน หนักไปทางเหลือง ทางแดง อย่างที่มีผู้พยายามยัดเยียดให้ท่านเป็นฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ หรือไม่ ประการใด ซึ่งโดยสรุปรวมๆ แล้ว...ท่านคงไม่ได้คิดถือหาง ถือข้าง ฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหน ยังหนักแน่นอยู่กับความเป็นฝ่ายที่ต้องการจะเห็นความถูกต้อง เป็นธรรม ความดี ความมีคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ฯลฯ หรือจัดอยู่ในฝ่าย ธรรมะ แบบเต็มๆ เนื้อๆ นั่นแหละ เพียงแต่ใครจะคิดว่าท่านเป็นอะไร เป็นฝ่ายไหน ต่อฝ่ายไหน ก็คงขึ้นอยู่กับ โลกที่เราเห็นคือโลกที่เราคิด หรือ คนเราจะเห็นโลกแบบไหน มักขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดที่เขามีอยู่ ตามที่ท่านได้สรุปไว้ในตอนต้นของปาฐกถาของท่านนั่นแล...
-------------------------------------------------
แต่โดยสรุปรวมความแล้ว...อาจารย์ เสกสรรค์ ท่านคงเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้ามิใช่น้อย กับการได้เห็นความขัดแย้ง แตกต่างภายในสังคมไทย ที่มีมาโดยตลอดชีวิตของท่าน และยังคงดำรงอยู่ต่อไปอย่างแทบไม่มีที่สิ้นสุด ท่านเลยต้องพยายามรวบรวม สังเคราะห์ วิเคราะห์ แยกแยะ จัดหมวดหมู่ บรรดาแนวคิดต่างๆ เท่าที่เห็นและเป็นไป อย่างชนิดยืดยาวอีเหลนเป๋น และอย่างพยายาม เข้าถึง-เข้าใจ ทุกๆ แนวคิด โดยขจัดความมีอคติ พยายามไม่เอาตัวตนของตัวเป็นมาตรฐานวัดตัดสินแต่ละแนวคิด หรือพยายามยึดเอา ส่วนรวม เอาประโยชน์ชาติบ้านเมือง เอาความถูกต้อง เป็นธรรม นั่นแหละเป็นที่ตั้ง...
-------------------------------------------------
ดังนั้น...แม้ว่าปาฐกถาของท่านคราวนี้ จะไม่ถึงกับหวือๆ หวาๆ แบบประเภท เรียกแขก หรือเรียกมิตร เรียกศัตรู ให้เข้ามาแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ไม่ว่าในแง่บวก แง่ลบ มากมายเกินไปนัก แต่ถ้าอ่านกันให้ละเอียด อ่านกันให้ลึกๆ สิ่งที่ถูกสะท้อนออกมาจาก ความรู้สึกนึกคิดที่เขามีอยู่ ของอาจารย์ เสกสรรค์ นั้น น่าจะก่อให้เกิด ผลบวก ต่อสังคมไทยไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการแสวงหาหนทางในการลดความขัดแย้ง แตกต่าง ไม่ว่าทางแนวคิดหรือการปฏิบัติ ที่เป็นตัวดึงดูดให้ใครต่อใครในสังคมไทย ต้องแยกกลุ่ม แยกก้อน แยกตัวเองออกเป็นฝ่ายๆ และต้องหันมาลงมือ ลงตีน กันมาโดยตลอด นับตั้งยุคอนาล็อก มาจนถึงยุคดิจิตอล หรือนับตั้งแต่ยุคที่อาจารย์ เสกสรรค์ ท่านยังเป็น นักปฏิวัติหนุ่ม จนกระทั่งต้องกลายมาเป็น นักคิดวัยชรา ตราบเท่าทุกวันนี้...
-------------------------------------------------
พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหาก ฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะจัดอยู่ในไฟลัม อนุรักษ์ หรือ หัวก้าวหน้า สามารถปรับแนวคิดในการมองโลกให้เปลี่ยนไปจากที่ตัวเองเคยติดยึด เคยยึดมั่น ถือมั่น ลงไปได้บ้างแม้แต่เพียงนิดๆ โอกาสที่จะเกิดการปรองดอง สมานฉันท์ เกิดการลดความขัดแย้ง แตกต่าง เท่าที่เคยมีมาในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่อนาคต ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน ผลประโยชน์ ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง อันอาจไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรมเสมอไป หรือเป็นสิ่งที่ทำให้ ความดี นั้นกลายเป็นมาตรฐานแบบสองมาตรฐานอะไรทำนองนั้น แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากจะเอาแต่อาศัยความก้าวหน้า ความทันสมัย ไปจนกระทั่ง ความเป็นประชาธิปไตย มาเป็นมาตรฐานในการชี้ขาดทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เป็นธรรม คุณธรรม ศีลธรรมใดๆ ก็แล้วแต่ ต่อให้เป็นประชาธิปไตยไปถึงขั้นไหน แบบไหน ก็น่าจะ เอาตัวไม่รอด ไปด้วยกันทั้งสิ้น...อะไรประมาณนั้น...
------------------------------------------------------
คือแม้ว่าตัวของอาจารย์ เสกสรรค์ ท่านอาจไม่ถึงกับชื่นชม ยินดี กับมาตรฐาน ความดี หรือความเป็น คนดี ของพวกอนุรักษนิยมมากมายซักเท่าไหร่ แต่สุดท้าย...ตัวของท่านเอง ก็น่าจะยังเป็น คนดี อยู่นั่นแหละ คือยังคงให้ความสำคัญกับคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม การกระจายผลประโยชน์ไปสู่ใครต่อใครให้กว้างขวางเข้าไว้ การมองเห็นถึง อันตราย ของเสรีภาพที่ปราศจากปัญญาและคุณธรรม หรือถ้าจะสรุปแบบสั้นๆ ง่ายๆ คือท่านยังมองเห็นว่าสิ่งที่น่าจะนำมาซึ่งคุณูปการให้กับสังคมทั้งมวล ก็คือ ธรรมะ นั่นเอง อันเป็นสิ่งที่มีความหมายกว้างไปกว่าความดีแบบคับๆ แคบๆ กว้างไปกว่าความเป็นไทยที่ถูกนำมาใช้เป็นแค่เครื่องมือในการแย่งชิงผลประโยชน์ของฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง กว้างไปกว่าความก้าวหน้า ทันสมัย หรือความเป็นประชาธิปไตยแบบมึงมั่ง-กูมั่ง ด้วยเหตุนี้...ต้องถือเป็นปาฐกถาที่น่าฟัง และควรต้องฟังให้มากๆ เข้าไว้ แม้นานๆ ท่านจะโผล่ที แต่เมื่อโผล่ขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็เป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจ ไม่น้อยทีเดียว...
----------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Archbishop Robert Alexander Kennedy... Oh Lord, change the world. Begin, I pray thee, with me.- โอ...ข้าฯ แต่พระผู้เป็นเจ้า ขอจงได้โปรดเปลี่ยนแปรแก้ไขโลกนี้ให้ดีขึ้น โดยให้เริ่มจากตัวข้าพเจ้าก่อน...
----------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |