ค้านแบบนี้มีหรือจะล่มรัฐนาวา


เพิ่มเพื่อน    

   คนที่ติดตามการทำงานของฝ่ายค้านมาตั้งแต่เมื่อก่อนที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาล จนพรรคพลังประชารัฐสามารถรวบรวมเสียง ส.ส.ได้เกินกว่า 250 เสียง และจัดตั้งรัฐบาลได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคะแนนเสียงของ ส.ว. คงจะพออนุมานได้ว่า ประเทศไทยยามนี้น่าจะไม่มีฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ เพราะพวกเขามีพฤติกรรมเป็นฝ่ายแค้นที่ไม่สามารถเอาชนะพรรคพลังประชารัฐในการจัดตั้งรัฐบาล และไม่สามารถสกัดกั้นพลเอกประยุทธ์ในการจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สอง นับตั้งแต่นั้นมา เราก็จะเห็นพฤติกรรมของพรรคฝ่ายค้านที่ค้านทุกเรื่อง ด้วยวาทกรรมบ้าง ด้วยการสร้างข่าวบ้าง ด้วยการเลือกที่จะเสนอข่าวบ้าง ด้วยการจับผิดเรื่องเล็กเรื่องน้อยต่างๆ นานา จนดูเหมือนว่าพลเอกประยุทธ์นั้นแม้แต่จะหายใจก็อาจจะผิดในสายตาของพวกเขาที่มีภาพเป็นฝ่ายแค้นมากกว่าฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ พวกเขาไม่ได้ “ตรวจสอบ” รัฐบาล แต่พวกเขา “จับผิด” รัฐบาล พวกเขาไม่ได้เสนอแนะเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน แต่พวกเขา “แซะ แขวะ” เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของพลเอกประยุทธ์ และหลายครั้งที่เขาพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ พวกเขามักจะจบว่าพลเอกประยุทธ์ คือ “ตัวปัญหา” และพลเอกประยุทธ์ควรที่จะ “ออกไป” การกระทำของพวกเขาที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง หลายๆ เรื่อง ทำให้เรามองเห็นว่าเขาพยายามทำทุกอย่างให้รัฐนาวาที่เราเรียกกันว่า “เรือแป๊ะ” ล่มหรือจมน้ำให้ได้ แต่การที่ประชาชนที่ยังคงกินข้าวหอมมะลิจึงรู้เท่าทันพวกเขา รัฐนาวาก็ยังไม่ล่ม
    ทั้งๆ ที่พรรคที่รวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลต่างก็มาจากการเลือกตั้งด้วยกฎกติกาและเวลาเดียวกันกับพรรคฝ่ายค้าน พวกเขามาสร้างวาทกรรมว่าพวกเขาเป็นฝ่าย “ประชาธิปไตย” และฝ่ายของพลเอกประยุทธ์เป็นฝ่าย “เผด็จการ” เป็นการช่วยให้พลเอกประยุทธ์ “สืบทอดอำนาจ” ปานประหนึ่งว่า ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ส.ฝ่ายค้านนั้นมาจากการเลือกตั้งคนละครั้งด้วยกติกาที่ต่างกัน ประชาชนจึงแปลกใจว่า ส.ส.ทั้งสองฟากนั้นมีที่มาต่างกันอย่างไร จึงต้องแบ่งขั้นเป็นฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายเผด็จการ
    ในการเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น พลเอกประยุทธ์ได้คะแนนเสียงจาก ส.ส.ที่เป็นผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งเกินกว่า 250 เสียง หากแม้นไม่มีเสียงของ ส.ว. 250 เสียง พลเอกประยุทธ์ก็ชนะ สามารถที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ฝ่ายค้านก็พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่าพลเอกประยุทธ์ปล้นชัยชนะโดยมีเสียงของ ส.ว.มาแย่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประชาชนไม่ได้อ่อนคณิตศาสตร์จนจะดูไม่ออกว่าจำนวนที่มากกว่า 250 จากจำนวน ส.ส. 500 คนนั้น เป็นจำนวนที่เกินกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรที่ทำให้พลเอกประยุทธ์ชนะการเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเป็นเช่นนี้ไฉนจึงยังคงสร้างวาทกรรมว่าพลเอกประยุทธ์แย่งชัยชนะ
    เพื่อที่จะทำลายภาพลักษณ์และชื่อเสียงของพลเอกประยุทธ์ พวกเขาพยายามจับผิดทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่ควรจะจบได้แล้วพวกเขาก็ไม่คิดที่จะจบ เรื่องการถวายสัตย์ ดร.วิษณุ รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายอธิบายชัดเจนแจ่มแจ้ง ถ้าไม่แกล้งโง่จะต้องเข้าใจ หากไม่ยอมเชื่อ ดร.วิษณุก็น่าจะเข้าใจการแถลงของศาลรัฐธรรมนูญ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมที่จะจบ รัฐบาลแถลงนโยบาย แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะมีโครงการอะไรบ้างภายใต้นโยบายนั้น พวกเขาก็หาว่านายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายโดยไม่บอกที่มาของเงินที่จะใช้ ไม่รู้ว่าไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างคำว่า “นโยบาย” กับคำว่า “โครงการ” หรือว่าเข้าใจ แต่ก็อยากจะหาเรื่องด่า หาเรื่องทำให้คนมองนายกรัฐมนตรีว่าเป็นคนทำผิดกฎหมาย เป็นคนไม่เคารพรัฐธรรมนูญ แม้นว่านายกรัฐมนตรีจะมาอธิบายอะไรเพิ่มเติมก็ยังไม่พอใจ ก็ยังคงจะหาเรื่องทำลายความน่าเชื่อถือต่อไปไม่หยุดหย่อน คงลืมไปว่าระหว่างพวกเขาที่คอบซะนายกรัฐมนตรีกับตัวของนายกรัฐมนตรีเองนั้น ใครมีทุนทางสังคมสูงกว่ากัน ประชาชนเชื่อใครมากกว่ากัน
    นอกจากจะแซะแขวะนายกรัฐมนตรีโดยตรงแล้ว ก็พยายามที่จะแซะแขวะคนรอบข้างนายกรัฐมนตรี ด้วยการนำเอาปัญหาทางด้านจริยธรรมมาจัดการกับคนพวกนั้น แต่ก็ไม่ได้จบลงที่คนพวกนั้น กลับเรียกร้องความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีที่เลือกคนเหล่านั้นมาดำรงตำแหน่ง ทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่ว่าใครมีปัญหาอะไร คนที่ต้องรับผิดชอบและต้องลาออกไปก็คือนายกรัฐมนตรี ทำให้เราได้เห็นเจตนาชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน แต่ทำหน้าที่ฝ่ายแค้นที่พ่ายแพ้ต่อการเป็นนายกรัฐมนตรี คนหนึ่งก็ไม่ได้เข้าสภา และไม่ได้รับการเสนอชื่อให้แข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรี อีกคนหนึ่งถูกจับเชิดขึ้นมาเป็นผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่แพ้ ก็สร้างวาทกรรมว่าพลเอกประยุทธ์ปล้นตำแหน่งไป กล่าวหาว่ามีคะแนนจาก ส.ว. 250 คนมาปล้นตำแหน่งรัฐมนตรีไป ทั้งๆ ที่ตัวเลขเห็นชัดๆ ว่าไม่ต้องใช้คะแนน ส.ว. 250 คน พลเอกประยุทธ์ก็มีคะแนนเสียงจาก ส.ส.มากกว่า 250 จากจำนวน ส.ส. 500 คน
    นายกรัฐมนตรีไปดูแลเรื่องน้ำท่วมมาแล้ว จึงลงไปงานสมุย ก็หาว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้ไปอุบลราชธานี นายกรัฐมนตรีไปรอบสอง ถามหา ส.ส.ในพื้นที่เพื่อให้มาช่วยกันดูแลประชาชน ก็หาว่านายกรัฐมนตรีต้องการให้คนมาพินอบพิเทา นายกฯ อยู่มากกว่าหนึ่งชั่วโมงก็หาว่าอยู่ชั่วโมงเดียว มีการรื้อเต็นท์เพื่อการทำงานของจังหวัด ก็หาว่ารื้อเพื่อให้นายกรัฐมนตรีผ่านทางนั้น ทั้งๆ ที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้ไปทางนั้นเลย ดาราเอาเงินสดไปแจก ก็หาว่าการทำงานของรัฐบาลสู้ดาราไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เคยเป็นรัฐบาล ก็รู้อยู่ว่าการใช้เงินงบประมาณของแผ่นดินนั้นมีระเบียบมีขั้นตอน จะมาทำโดยไม่มีโครงการ ไม่มีการดำเนินงานตามขั้นตอนของการอนุมัติไม่ได้ ดารามาร่วมมือกับรัฐบาลในการระดมทุนไปช่วยชาวบ้านก็หาว่านายกรัฐมนตรีไปบังคับเขามา
    ไปรณรงค์เชิญชวนประชาชนให้ร่วมมือกันแก้รัฐธรรมนูญ พูดกันไปต่างๆ นานา เลยเถิดไปหลายเรื่องใช้คำว่า “เฮงซวย” ทุกมาตราบ้าง ให้แก้ “มาตรา 1” บ้าง แต่พอพูดจบ ทั้งหัวหงอกหัวดำ ต่างก็จบลงด้วยข้อความเดียวกัน คือ พลเอกประยุทธ์เป็นตัวปัญหาของบ้านเมือง ดังนั้นพลเอกประยุทธ์จะต้องออกไป จะต้องช่วยกันไล่พลเอกประยุทธ์ออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ก็พูดกันแบบนี้ ทำไมประชาชนจะไม่เห็นลิ้นไก่ อ้าปากพูดออกมาแบบนี้ ประชาชนก็เห็นไปถึงไส้ติ่งแล้วว่าพวกเขาต้องการอะไร พวกเขาต้องการให้พลเอกประยุทธ์ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งๆ ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน เวลาที่พวกเขาพูดถึงการแก้รัฐธรรมนูญ เราไม่เห็นเขาจะชี้ว่ามาตราไหนที่เป็นปัญหากับผลประโยชน์ของประชาชน ดูเหมือนว่าพวกเขาคิดถึงประโยชน์ทางการเมืองของพวกเขามากกว่า คุณภาพของฝ่ายค้านที่ทำตัวเป็นฝ่ายแค้นแบบนี้คงล่มรัฐนาวาของลุงตู่ได้ยากนะ ขอบอก. 
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"