จากแม่น้ำหอมสู่แม่น้ำทูโบน


เพิ่มเพื่อน    


ยามเย็นริมแม่น้ำทูโบน เมืองฮอยอัน จังหวัดกว๋างนาม

            ยามเย็นบนเส้นทางเลียบแม่น้ำหอมอากาศอุ่นกำลังดี ทำให้การปั่นจักรยานออกจากวัดเจดีย์เทียนมู่ที่จุดสุดเขตของเมืองเว้เพื่อกลับเข้าสู่ตัวเมืองให้ความรู้สึกน่าอภิรมย์กว่าขามาที่แดดบ่ายแผดเผาจนแขนเป็นสีคล้ำขึ้นอย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวชาวจีนนั่งมาในซิโคล (Cyclo) หรือสามล้อปั่นขบวนยาวเกือบร้อยเมตร พวกเขามีสัญลักษณ์ที่เหมือนกันคือทุกคนสวมหน้ากากอนามัยแม้ว่าเมืองเว้แทบจะไม่มีฝุ่น (เอ๊ะ..หรือพวกเขามาจากฮ่องกง!) ส่วนสารถีชาวเวียดนามก็มีสัญลักษณ์ที่เหมือนกันคือเสื้อกั๊กสีม่วง คาดว่ารับงานมาจากบริษัททัวร์


ยามเย็นวันก่อนหน้านั้นที่ริมแม่น้ำหอม เมืองเว้ จังหวัดเถื่อเทียน-เว้

                แม่น้ำหอมอยู่ทางด้านขวา ห่างออกไปจากถนนราวๆ 50 เมตร ช่วงหนึ่งของเส้นทางผมเห็นกลุ่มคนเล่นน้ำกันอยู่หลายสิบคนจึงลองปั่นเข้าไปดูริมตลิ่ง พบว่าเป็นคนท้องถิ่นทั้งหมดและส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มีตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา หากไม่สวมชุดชูชีพก็อยู่ในห่วงยาง บริเวณนี้ไม่มีร้านค้า ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ มีเพียงลานหญ้ากว้างและจักรยานยนต์ของคนที่มาเล่นน้ำจอดอยู่ ใครที่เล่นเสร็จแล้วก็ขึ้นจากน้ำมาล้างตัวด้วยน้ำสะอาดที่เตรียมใส่ถังแกลลอนและขวดพลาสติกใบใหญ่มาจากบ้าน เป็นภาพที่น่าดูไปอีกแบบ แต่จะยืนดูนานๆ ก็น่าเกลียด

                ก่อนจะถึงเขตกำแพงพระราชวังเมืองเว้มีรางรถไฟตัดขวางถนน ผมปั่นเลี้ยวขวาขึ้นสะพาน Da Vien ข้ามแม่น้ำหอม ส่วนรางรถไฟนั้นอยู่บนสะพานเหล็กที่ขนานคู่กันไปชื่อสะพาน Bach Ho เมื่อถึงอีกฝั่งก็เห็นสถานีรถไฟเว้ (Ga Hue) อยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำ

                ถนน Le Loi ที่ตั้งตามชื่อจักรพรรดิเลเหล่ยผู้ยิ่งใหญ่ของเวียดนามเริ่มจากตรงนี้แล้วพุ่งตรงยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ขนานไปกับแม่น้ำหอมสู่ใจกลางย่านนักท่องเที่ยว ผมอยู่เว้ได้สองสามวันแล้วจึงรู้เส้นทางซอกแซก ลัดเลาะไปตามซอยเล็กๆ ถึงโรงแรมที่พักตอนพลบค่ำพอดี คืนจักรยานแล้วอาบน้ำ


ขบวนซิโคลชมวิวที่เมืองเว้ คงกำลังมุ่งหน้าไปวัดเจดีย์เทียนมู่

                มื้อเย็นนี้กะจะเดินไปอุดหนุนร้าน Rose 2 เหมือนเคย แต่พอเปิดดูเมนูของร้านอาหารเล็กๆ ที่อยู่ติดกับโรงแรมก็รู้สึกอยากลอง มีโต๊ะ-เก้าอี้หวายเล็กๆ อยู่ 4 ชุด ผมสั่งอาหาร Family Set ไปกับวัยรุ่นชายที่ผละจากธุระที่โต๊ะเอเยนต์ทัวร์ติดๆ กันมารับออเดอร์ เขาแจ้งแม่ครัวแล้วกลับมาบอกผมว่า Family Set หรือชุดครอบครัวหมดแล้ว ผมจึงสั่งผัดผักใส่กุ้งมากินกับข้าวสวย ผ่านไปสักพักแม่ครัวเดินมาคุยเองว่ากุ้งเหลือน้อย ผสมปลาหมึกลงไปด้วยจะได้ไหม ผมไม่ขัดข้อง และเมื่อได้ลิ้มรสก็ถือว่าคิดถูกแล้วที่งดกินที่ร้าน Rose 2 สักมื้อ


นั่งซิโคลเพลินใจที่เมืองเก่าฮอยอัน

                แม่ครัวพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก เพราะที่แท้เธอคือเจ้าของเอเยนต์ทัวร์และโฮสเทล FA Backpackers ที่อยู่ด้านบนของตึก ส่วนวัยรุ่นชายคนที่รับออร์เดอร์ก็พูดอังกฤษได้เก่งเหลือเชื่อ ไม่รู้ไปเรียนมาจากไหน คะเนอายุแล้วไม่น่าจะเกิน 18 ปีด้วยซ้ำ

                ผมกลับโรงแรม รีเซฟชั่นถามว่าจะไปเมืองไหนต่อหลังจากเว้ พอผมตอบฮอยอัน เธอก็ถามต่อว่ามีตั๋วหรือยัง ผมตอบว่ายังไม่ได้ซื้อ แต่เล็งไว้แล้ว เธอถามอีกว่าที่เล็งไว้น่ะราคาเท่าไหร่ ผมตอบ 90,000 ดอง เธอหายไปแล้วกลับมาพร้อมแม่ครัวคนเมื่อสักครู่ แม่ครัวพูดขึ้นว่าเธอก็ขายตั๋วไปฮอยอันนะ ราคา 80,000 ดองเท่านั้น (ประมาณ 110 บาท) ดูเหมือนจงใจตัดราคาคู่แข่ง บอกเธอไปว่าหากตัดสินใจว่าจะเดินทางเมื่อไหร่แล้วผมจะรีบแจ้ง

                คืนนี้ผมไม่กล้าออกไปดื่ม เพราะอาการน้ำมูกไหลยังไม่หาย ต้องตอบข้อความของหนุ่มเมืองเว้ที่หน้าตาคล้ายลุงโฮจิมินห์ไปว่าขอลุ้นไปเจอกันคืนพรุ่งนี้แทน แต่หลังมื้อเช้าวันต่อมาผมก็ตัดสินใจซื้อตั๋วกับเจ๊แม่ครัวเพื่อเดินทางไปฮอยอันในตอนบ่ายทันที จากนั้นยืมจักรยานจากโรงแรมปั่นไปกินกาแฟที่ร้าน Chu Café บนถนน Le Loi แล้วปั่นต่อไปยัง Bo’s Tailor ในซอย Vo Thi Sau โบอยู่ในร้านพอดี ผมบอกว่าจะมาลา เธอนำน้ำชามาให้ดื่มแล้วขอถ่ายรูปเซลฟี่เพื่อส่งไปให้ไมเคิล-เพื่อนชาวเยอรมันของเราทั้งคู่ และเลลา-แฟนสาวชาวจอร์เจียนของไมเคิล

                ผมสงสัยเรื่องค่าโดยสารรถบัสจากเว้ไปฮอยอันที่ถูกกว่าตอนที่ผมนั่งจากดานังมาเว้ ซึ่งผมจ่ายไป 160,000 ดอง ทั้งที่ดานังเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างเว้และฮอยอัน หากคิดตามหลักคณิตศาสตร์แล้วค่าตั๋วจากเว้ไปฮอยอันควรจะแพงกว่า 160,000 ดอง แต่นี่ถูกลงไปตั้งครึ่ง โบให้คำตอบว่าเพราะมีนักท่องเที่ยวเดินทางจากเว้ตรงไปฮอยอันมากกว่าแวะดานัง ทัวร์แต่ละแห่งต้องการจะให้รถเต็มก็เลยแข่งกันขายราคาถูก


เรือล่องแม่น้ำทูโบนยามค่ำคืนพร้อมให้บริการแล้ว

                ใกล้ 11 โมงผมกลับโรงแรมไปเก็บกระเป๋าแล้วหมายจะกินมื้อเที่ยงที่ร้านของ FA Backpackers แต่วัยรุ่นชายบอกว่าไม่มีคนทำกับข้าวจึงต้องเดินไปอีกหน่อยมีร้านอยู่หัวถนนชื่อ Ruby & Bistro ซึ่งมีห้องพักอยู่ด้านบนเหมือนกัน จะว่าไปเป็นร้านอาหารของที่พักมากกว่า เช่นเดียวกับ Rose Homestay ที่มีร้าน Rose 2 อยู่ชั้นล่าง ผมสั่งมะเขือยาวผัดราดข้าว แต่รอนานมาก เนื่องจากมีคนสั่งอาหารใส่กล่องไว้หลายชุด ต้องเดินกลับไปบอกวัยรุ่นชายว่าถ้ามีรถมารับก็ขอให้ไปตามที่ร้าน Ruby & Bistro เมื่ออาหารมาเสิร์ฟก็กินอย่างรวดเร็ว แล้วกลับไปรับกระเป๋าตอนบ่ายโมงตรง เป็นจังหวะเดียวกับที่มีมอเตอร์ไซค์มารับไปส่งที่เอเยนต์ใหญ่

                ตอนที่มอเตอร์ไซค์ขับไปในซอย Chu Van An ผมหวั่นว่าจะเป็นเอเยนต์ที่ผมถามราคาวันก่อน ซึ่งเสนอค่าโดยสาร 90,000 ดอง ปรากฏว่าเป็นเอเยนต์ที่อยู่ติดกัน และไม่ทันจะได้นั่งก็มีแท็กซี่มารับผมและผู้โดยสารอีก 3 คนไปส่งที่ร้านกาแฟชื่อ Moi ห่างออกไปราว 2 กิโลเมตร จึงสงสัยว่าเงิน 80,000 ดองจากค่าโดยสารจะเหลือถึงเอเยนต์สักกี่มากน้อย ระหว่างรอรถบัสมารับมีเจ้าหน้าที่สาวนำกระดาษแบบฟอร์มมาให้กรอกข้อมูลส่วนตัวลงไปพร้อมขอดูตั๋ว ผมก็ตกใจ เพิ่งนึกออกว่าคนขายไม่ได้ให้ตั๋ว บอกไปว่าซื้อจาก FA Backpackers เธอก็ร้องอ๋อ คงรู้แล้วว่าผมนี่เองผู้ซื้อของถูก

                รอไม่นานนักรถบัสก็มาจอดหน้าร้านกาแฟ เป็นรถนอน เตียง 2 ชั้น 3 แถวเหมือนขามาจากดานัง ตอนจะวางกระเป๋าในที่เก็บด้านล่างรถ โชเฟอร์ระบุให้คนที่จะลงดานังวางฝั่งซ้าย ไปฮอยอันวางฝั่งขวา ลุงที่นั่งมาในแท็กซี่คันเดียวกันให้ผมอยู่คิวหน้าแกก่อนขึ้นรถ แกยอมอยู่เป็นคนสุดท้าย ก่อนนี้แกก็ช่วยเอากระเป๋าผมเก็บในกระโปรงหลังรถแท็กซี่ ตอนโชเฟอร์ยื่นถุงพลาสติกเพื่อใส่รองเท้าวางในซอกหน้าที่นั่ง (นอน) ผมรับมาแล้วยื่นให้ลุง ก่อนจะรับของตัวเอง ลุงพยักหน้าแล้วยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร


สะพานญี่ปุ่นอายุมากกว่า 400 ปี สัญลักษณ์สำคัญเมืองฮอยอัน

                ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร รถบัสใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งถึงเมืองดานัง แวะจอดที่เอเยนต์ทัวร์ที่ผมขึ้นรถตอนเดินทางไปเว้ มีคนลงไม่กี่คน และขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง ฝรั่งสาวขานหมายเลข A6 ของเธอที่มีฝรั่งสาวอีกคนนอนอยู่ก่อนแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ลง ผู้ขึ้นมาใหม่จึงถามว่า “คุณก็ได้หมายเลข A6 หรือ?” อีกฝ่ายตอบว่า “ไม่มีใครได้หมายเลขอะไรหรอก” ผู้ขึ้นมาใหม่ก็ยอมขึ้นไปนอนบนที่นอนที่ว่างอยู่

                ระยะทางราว 30 กิโลเมตร รถใช้เวลาวิ่งเกือบ 1 ชั่วโมง รถบัสมาถึงเมืองฮอยอัน จังหวัดกว๋างนาม เวลา 5 โมงเย็น จอดข้างๆ สนามกีฬาแห่งหนึ่ง มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรือที่เรียก “เซโอม” เข้ามาทาบทาม ผมบอกชื่อ Flower Garden Homestay ที่ได้จองไว้ทางอินเทอร์เน็ต พี่เซโอมเสนอราคา 70,000 ดอง หรือเกือบเท่ากับที่ผมจ่ายในการเดินทาง 120 กิโลเมตรจากเว้มาฮอยอัน แต่นี่ระยะทางแค่ 1.5 กิโลเมตร ผมต่อเหลือ 20,000 ดอง พี่เซโอมขอประนีประนอมที่ 40,000 ผมบอกว่าใกล้ๆ ขอเดินดีกว่า เขาลดเหลือ 30,000 ผมก็ออกเดิน ซึ่งตั้งใจจะเดินจริงๆ พี่เซโอมก็ขี่มาเทียบข้างๆ แล้วกล่าว “โอเค 2 หมื่น” ผมขึ้นไปนั่งแล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราใจร้ายเกินไปมั้ย แม้ว่าจะได้ทำการบ้านเรื่องค่ารถมาก่อนแล้ว ชาวเน็ตบอกว่าไม่ควรจ่ายมากไปกว่านี้

                ถึงที่พักผู้จัดการสาวโผล่ออกมาจากห้องของเธอ แนะนำตัวว่าชื่อ “อันห์” รู้ว่าผมเป็นคนไทยก็นำโทรศัพท์มือถือออกมาอวดว่ากำลังดูซีรีส์ละครไทยเรื่องดัง ขึ้นซับไตเติลเป็นภาษาเวียดนามเรียบร้อย ผมบอกเธอว่ารู้จัก แต่ไม่เคยดู เหมือนเธอจะผิดหวังนิดหน่อยแล้วก็ยื่นกุญแจให้พร้อมบอกตำแหน่งของห้องพัก แล้วหายกลับเข้าไปในห้องเดิม คงจะดูละครไทยของเธอต่อไป

                ผมเก็บของแล้วออกเดินไปทางทิศใต้มุ่งสู่แม่น้ำทูโบน ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณครึ่งกิโลเมตร แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านเมืองฮอยอันส่วนที่เป็นเมืองเก่าหรือเมืองท่าอันรุ่งเรืองในอดีต ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึง 19 แล้วไหลต่อไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตรออกสู่อ่าวคัวได๋ ทะเลตะวันออกของเวียดนาม ถือว่าเป็นแม่น้ำที่มีส่วนสำคัญในการสร้างชีวิตและสีสันให้กับฮอยอัน 


โรตีไทยดังไกลถึงฮอยอัน

                มีสะพานชื่อ “ฮวงเซียว” สำหรับข้ามไปยังเกาะกลางแม่น้ำที่มีบรรดาที่พักและร้านอาหาร แต่น้อยกว่าฝั่งเมืองเก่านี้อยู่มาก ผมเลี้ยวขวาเดินเลียบแม่น้ำไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เห็นตลาดในร่มสำหรับขายอาหารที่เคยมานั่งกินเมื่อ 6 ปีก่อน พอเดินเข้าไปก็จำไม่ได้ว่าเคยกินร้านไหน เพราะหน้าตาคล้ายๆ กันไปหมด ลักษณะเหมือนข้าวราดแกง อาหารอยู่ในจานชามใบใหญ่ๆ โต๊ะเก้าอี้เป็นแบบเคาน์เตอร์บาร์หันหน้าเข้าหาแม่ค้าพ่อค้าที่อยู่ด้านใน มีนักท่องเที่ยวทั้งฝรั่ง เอเชีย และชาวเวียดนามเองนั่งกันอยู่เยอะทีเดียว คงเพราะราคาไม่แพงและสั่งแล้วได้กินทันที เหมาะกับคนที่กำลังหิวได้ที่ สุดท้ายผมเลือกร้านที่มีเมนูข้าวกับไก่เพราะคิดจะลองอยู่นานแล้ว

                เมนูนี้พบเห็นได้ทั่วไปในเวียดนาม เรียกว่า “เคิมกา” แปลว่าข้าวกับไก่ บางที่ใช้ข้าวที่หุงพิเศษทำให้ข้าวมีสีตามวัตถุดิบที่ใส่ ส่วนไก่เคยเห็นทั้งแบบทอด ต้ม และนึ่ง ร้านที่ผมเลือกใช้ข้าวสวยธรรมดา แม่ค้าตักไก่สีเหลืองคล้ายๆ ไก่ที่ใช้กับข้าวหมกบ้านเราแต่นิ่มกว่า ใส่ลงไป 2 ชิ้นใหญ่ๆ แล้วราดด้วยน้ำซอส ซึ่งน้ำซอสนี้รสชาติกลมกล่อมดีมาก ว่ากันว่าหากเป็นเคิมกาฮอยอันขนานแท้ต้องใช้ไก่บ้านหรือไก่ที่เลี้ยงตามธรรมชาติเท่านั้น เรียกว่า “กาตา” ราคาของข้าวจานนี้อยู่ที่ 40,000 ดอง หรือราวๆ 60 บาท      

                เขตเมืองเก่าฮอยอันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทั่วทั้งพื้นที่ด้วยความงามทางด้านสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเฉพาะจากการผสมผสานระหว่างท้องถิ่นและต่างชาติ วันที่ผมไปเยือนเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานั้นมีนักท่องเที่ยวหนาแน่น ในบางซอยจักรยานไม่สามารถปั่นได้สะดวก นอกจากนักท่องเที่ยวเกาหลีที่นิยมมาเที่ยวเวียดนามกันมากเป็นพิเศษในช่วงหลัง ยังมีจีนที่ไม่น้อยหน้า ฝรั่งมังค่าก็เดินกันทั่ว ชาวเวียดนามเองก็อยู่ในช่วงมหกรรมท่องเที่ยวกลางปี จึงทำให้ฮอยอันเวลานี้คนแน่นอย่างกับงานวัดใหญ่ๆ ในอดีตของบ้านเรา 

 


นักท่องเที่ยวกระจุกกันมากเป็นพิเศษในซอยที่จะตรงไปยังสะพาน Bridge of Lights

                ในแม่น้ำทูโบน กิจการล่องเรือชมวิวทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ในเรือตกแต่งด้วยโคมไฟให้สีสันสว่างไสว ริมแม่น้ำมีทางเดินปูพื้นเป็นระเบียบและสะอาด ถัดไปเป็นถนนเลียบแม่น้ำและแถวของอาคารเก่าที่แปลงกายเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขายของที่ระลึก ถัดขึ้นไปก็เป็นถนนและแถวของอาคารอีกชุดและอีกชุด

                บริเวณสะพานอันฮอย (Cau An Hoi) เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า Bridge of Lights สำหรับข้ามไปยังเกาะกลางแม่น้ำอีกเกาะหนึ่ง เป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมอันดับ 1 สำหรับผู้มาเยือนฮอยอันก็ว่าได้ แต่สะพานสำคัญทางประวัติศาสตร์จนเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของฮอยอันที่แท้จริงอยู่เลยสะพานอันฮอยไปแค่นิดเดียว นั่นคือ “สะพานญี่ปุ่น” เรียกในภาษาอังกฤษว่า Japanese Covered Bridge มีอายุมากกว่า 400 ปี สร้างคร่อมลำรางที่แยกไปจากแม่น้ำทูโบน (ซึ่งผมขออนุญาตยกยอดเรื่องประวัติศาสตร์ฮอยอันไปว่ากันในสัปดาห์หน้า)

                ตั้งแต่สะพานอันฮอยไล่ตามแม่น้ำขึ้นไปราว 200 เมตร เป็นแถวของร้านอาหารหลายสิบร้าน แต่ล้วนขายสิ่งเดียวกัน นั่นคือ Cau Lau ออกเสียงคล้ายๆ เกาเหลา แต่เป็นอาหารที่มีเส้น คือก๋วยเตี๋ยวแห้งอันโด่งดังประจำถิ่นฮอยอัน

                ระหว่างทางเดินกลับที่พัก ผมเห็นร้านน้ำส้มคั้นสด ใช้ส้มใบใหญ่สีเขียว ป้าเจ้าของร้านนวดซึ่งคงเป็นเพื่อนกับป้าร้านน้ำส้มพอพูดภาษาอังกฤษได้ แกเชียร์แล้วเชียร์อีก ผมก็ซื้อมาดื่ม ปรากฏว่าพอกลับถึงที่พักอาการน้ำมูกไหลหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ จึงให้รางวัลตัวเองด้วยเบียร์ Larue จากมินิบาร์ในห้องพัก 1 กระป๋อง

                ตื่นเช้าวันต่อมา รู้สึกสดชื่นที่สุดนับตั้งแต่เหยียบเวียดนามเมื่อสัปดาห์ก่อน.

 

 

 

 

 

 

 

 

แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"