นายกฯฟุ้ง‘ชิมช้อปใช้’ได้ผล-งงถูกด่า


เพิ่มเพื่อน    

 นายกฯ ระบุมาตรการ "ชิมช้อปใช้" ได้ผล โอดไม่เข้าใจยังถูกโจมตี ขอเข้าใจใช้จ่ายเงินหลวงไม่ง่าย ถ้าผิด รบ.ต้องรับผิดชอบ หลังถูกมองขั้นตอนยุ่งยาก ด้าน พท.-พิชัย ประสานเสียง  อัดใช้งบล้มเหลว แจกอีลุ่ยฉุยแฉก ไร้เงื่อนไข เข้าข่ายประชานิยม  เข้ากระเป๋าทุนใหญ่ ไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ แขวะทำได้เท่านี้ควรลาออกไป

    เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” รับเงินผ่าน "เป๋าตัง" (จี-วอลเลต) ว่าเท่าที่ตนสังเกตโครงการนี้ได้ผล แต่ก็ถูกโจมตีพอสมควร ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน การทำโครงการนี้มีระบบควบคุม มีการขึ้นทะเบียน มีการรายได้รีพอร์ตตัวเลขที่ชัดเจน ซึ่งกระทรวงการคลังสามารถชี้แจงได้ 
    ส่วนความยุ่งยากในขั้นตอนและการใช้เงินนั้น ก็ต้องเข้าใจว่าเงินของรัฐบาล เงินหลวง ไม่ได้ง่ายที่จะใช้อะไรก็ได้ ถ้าผิดขึ้นมารัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบอีก ฉะนั้นหากท่านจะใช้เงิน ก็ให้เคารพกติกาบ้าง เราใช้อย่างฟุ่มเฟือยไม่ได้ ต้องใช้ตามความจำเป็น ส่วนที่บอกว่าการใช้เงินยุ่งยาก แต่วันนี้เราเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสดมาระยะหนึ่งแล้ว อย่างการใช้เงินจากบัตรประชารัฐ ไม่ใช่เรื่องไปแจกเงินสดในมือ แต่เป็นการโอนเข้าบัญชีที่เขาเรียกว่ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (อี-วอลเลต) เราต้องศึกษาเรื่องเหล่านี้ด้วย
    นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลมีมาตรการเหล่านี้ออกมาเพื่อควบคุมการใช้จ่ายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพ เพื่อวันหน้าทำได้อีก ก็เป็นธรรมดา อะไรก็ตามที่เราไม่เคยใช้ก็ต้องเรียนรู้และคุ้นเคยกับมันเอง อย่างบัตรประชารัฐ ตอนแรกก็ยุ่งยากพอสมควร แต่วันนี้ก็เข้าใจกันหมดแล้ว มีแต่ว่าเมื่อไหร่จะได้มากกว่าเดิม รัฐบาลกำลังหาเงินอยู่
    นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงโครงการชิมช้อปใช้ ว่ามาตรการนี้เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เกาไม่ถูกที่คัน แจกเงินใส่กระเป๋าประชาชนโดยไร้เงื่อนไข ไม่ระบุกลุ่มเป้าหมาย เข้าข่ายประชานิยม ถ้าเป็นรัฐบาลปรกติคงทำได้ยาก แต่เมื่อรัฐบาลนี้ทำแล้ว ประชาชนกลับสับสน และพานจะไม่นิยมชิมช้อปใช้ เป็นกลยุทธ์การตลาด เล่นกับความรู้สึกประชาชน ที่ไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ซ้ำร้ายกว่านั้นคือเรื่องระบบขั้นตอน ที่ซับซ้อนยุ่งยาก ทั้งผู้สูงอายุ ผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน โฆษณาว่าไทยแลนด์ 4.0 แต่กลับทำได้แค่ 0.4 ระบบล่มแล้วล่มอีก ตั้งแต่ลงทะเบียน หาแอปเป๋าตัง สแกนใบหน้าไม่ผ่าน เงินไม่เข้าร้าน มีปัญหาแทบทั้งหมดในทุกขั้นตอน 
    โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวต่อว่า เจตนาครั้งแรกคล้ายจะให้เงินหมุนเข้าไปในท้องถิ่น ชุมชน ตลาดสด ร้านค้าชาวบ้าน แต่พอเปิดให้ผู้ประกอบการทุนใหญ่เข้าร่วมโครงการ กลายเป็นว่าเม็ดเงินไม่ได้หมุนเข้าไปในชุมชน ประโยชน์กลับไปตกอยู่กับกลุ่มทุนใหญ่ ธุรกิจเจ้าสัวเพียงไม่กี่ตระกูล เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ทุนใหญ่ครองประเทศ ยิ่งซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุก จนกระจาย คนไทยอาจเริ่มชิน เพราะรู้ฝีมือรัฐบาลประยุทธ์หาเงินไม่เป็น แต่ไม่คิดว่าขนาดจะแจกเงินยังแจกไม่เป็น เพราะนอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหา ยังซ้ำเติมให้เกิดวิกฤติ
         "ถามว่ารัฐบาลเอาเงินมาแจกดีไหม ใครก็ตอบว่าดี แต่ในภาวะข้อจำกัดของงบประมาณ การใช้จ่ายภาครัฐต้องระมัดระวัง ทั้งการจัดซื้ออาวุธ งบพัฒนากองทัพ ควรปรับลด เอางบประมาณมาแก้ปัญหา ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ หรืองบบรรเทาสาธารณภัย ควรนำเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดไปช่วยคนที่จำเป็นก่อน น่าจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการในลำดับต้นๆ” นายอนุสรณ์กล่าว
    ขณะที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวถึงการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล มีการใช้อย่างสะเปะสะปะ มีการแจกเงินอย่างไม่มียุทธศาสตร์ในโครงการประชารัฐและบัตรคนจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการแจกเงินเที่ยว 1,000 บาท หรือที่เรียกว่าชิมช้อปใช้ ซึ่งเป็นการแจกเงินแบบสูญเปล่า แถมยังมีปัญหาการลงทะเบียนที่ทำได้ยาก มีข้อจำกัดปิดกั้นประชาชนจำนวนมากที่ไม่มีความชำนาญในการเข้าไปลงทะเบียน และเมื่อเวลาใช้จริงก็เกิดปัญหาระบบล่ม ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องทิ้งของที่จะช็อปไว้ในรถเข็นในห้างสรรพสินค้า   
    "ยิ่งตอกย้ำว่าแจกเงินแล้วเงินตกไปอยู่กับนายทุนเจ้าของห้างสรรพสินค้าและซื้อสินค้าของนายทุนทั้งหมด ประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่ได้รับผลประโยชน์เลย ไม่ต่างอะไรกับนโยบายช็อปปิ้งแล้วหักภาษีได้ที่รัฐบาลทำอยู่หลายครั้งแล้วต้องยกเลิกไป เพราะพิสูจน์แล้วว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นการใช้เงินอย่างสูญเปล่าเหมือนกัน อีกทั้งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ใครจะมีกะใจไปเที่ยว นอกจากพวกที่มีแผนจะเที่ยวอยู่แล้ว ซึ่งไม่ได้ทำให้มีการเที่ยวมากขึ้น ขนาด รมว.การคลังยังไม่กล้าตอบเลยว่าทำโครงการชิมช้อปใช้ แล้วจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเท่าไหร่ ซึ่งคงแทบไม่มีผลเลย" 
         อดีต รมว.พลังงานกล่าวว่า ทางที่ดีน่าจะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปทำโครงการให้ประชาชนรากหญ้าสามารถนำไปต่อยอดหารายได้เพิ่มขึ้นได้จะดีกว่ามาก หรือนำเงินดังกล่าวไปปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวให้สวยงามและสะดวกสบาย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตเพื่อหารายได้เพิ่มจากการท่องเที่ยวที่จะมีการกระจายรายได้เข้าสู่ประชาชนทุกระดับมากกว่า หากจำกันได้ โครงการแจกเงินเที่ยวนี้เคยถูกนำเสนอก่อนการเลือกตั้งแล้ว แต่ถูกสังคมโจมตีหนักมากจนต้องยกเลิกไป แต่หลังจากเลือกตั้งแล้วก็ยังนำมาปัดฝุ่นทำใหม่ ทำให้คิดว่ารัฐบาลมีกรอบคิดไอเดียเพียงเท่านี้แค่นั้นหรือ ซึ่งย้ำคิดย้ำทำแต่เรื่องไม่เกิดประโยชน์ 
    พล.อ.ประยุทธ์น่าจะเปิดกูเกิลเข้าไปอ่านว่าตอนก่อนเลือกตั้งถูกด่าไว้อย่างไร และตอนนี้ถูกด่าอย่างไร ซึ่งไม่ต่างกันเลย แต่ก็ยังจะทำ หากกรอบคิดของรัฐบาลมีเท่านี้จริงๆ ก็น่าจะลาออกแล้วให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำแทนจะดีกว่ามาก ประเทศจะได้พัฒนาในแนวทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่อยู่ในสภาพแบบทุกวันนี้ ซึ่งขนาดพูดเรื่องกูเกิลเองที่บอกว่า “ประชาชนไม่ค่อยเปิด ทำให้ปัญหาเกิดเพราะเขาไม่เรียนรู้” ประชาชนได้ยินกันทั้งประเทศ แต่ยังกล้าบอกว่าถูกบิดเบือน ซึ่งอยู่กันในยุคที่มีเทคโนโลยีขนาดนี้แล้วประชาชนคงตัดสินได้ว่าใครกันแน่ที่บิดเบือน.
    


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"