ยุคของการชิงข้อมูล


เพิ่มเพื่อน    

 

             โลกธุรกิจในปัจจุบัน เรากำลังอยู่ในยุคที่ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างหมวดหมู่ธุรกิจ คงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นว่า คนที่ค้าปลีกอาจจะไปทำรถไฟฟ้า คนที่ขายเหล้าจะข้ามไปทำอสังหาฯ และต่อจากนี้จะเริ่มต้นเห็นเทรนด์แบบนี้เยอะมากขึ้น

                สาเหตุที่บริษัทหลายแห่งเริ่มมองเรื่องการขยายอาณาจักร ส่วนหนึ่งยอมรับเพื่อสร้างความเติบโต และกระจายความเสี่ยง แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมากกว่าคือ 'ข้อมูล' ใช่ครับ อ่านไม่ผิด 'ข้อมูล' คือกุญแจสำคัญที่องค์กรขนาดใหญ่ในเวลานี้ต้องการ มันคือทองคำรูปแบบใหม่ที่ทุกธุรกิจต้องการมองหา

                ในยุคนี้องค์กรไหนก็ตามที่สามารถครอบครอง 'ข้อมูล' เอาไว้ได้มากที่สุด องค์กรนั้นจะกุมเข้าหัวใจของผู้บริโภคได้ ถ้านำเสนอสิ่งที่โดยใจถูกจุด ผู้บริโภคคนนั้นก็จะกลายมาเป็นลูกค้าในที่สุด

                ดังจะเห็นได้ว่า หลายองค์กรจึงพยายามนำตัวเองไปยังจุดที่ตัวเองไม่คุ้นเคย และที่สำคัญบางธุรกิจที่ตัวเองขยายการลงทุนไป ก็แทบจะไม่เกี่ยวกับธุรกิจหลักของตัวเองเลย เพราะสิ่งที่ทางองค์กรอยากได้นั้นไม่ใช่ยอดขาย จากกิจการที่ขยายไป แต่เป็นความต้องการข้อมูลมากกว่า

                ซึ่งเราเห็นได้ง่ายๆ จากเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซชื่อดังในประเทศ อย่างลาซาด้า และช้อปปี้ ซึ่งตั้งแต่เปิดให้บริการมาก็ขาดทุนกันมาทุกปี และขาดทุนมากด้วย อย่างในปี 2018 ลาซาด้าขาดทุนไป 2.6 พันล้านบาท ขณะที่ช้อปปี้ขาดทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ถามว่าในธุรกิจปกติ การขาดทุนต่อเนื่องแบบนี้มีทางเดียวคือ ต้องยอมเลิกกิจการ แต่ปรากฏว่าทั้ง 2 เว็บนี้ยังคงยอมขาดทุนและทำตลาดต่อไป

                บทสรุปก็คือ เขาต้องการข้อมูล และเขาลงทุนเพื่อสร้างลูกค้าที่จงรักภักดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันจะย้อนกลับมาเพื่อนำไปสู่การสร้างธุรกิจอื่นๆ ที่มีกำไร ดังที่เห็นจากบริษัทไอทียักษ์ใหญ่หลายเจ้า ก็พยายามปรับตัวเองไปเป็นซูเปอร์แอป ซึ่งไม่ได้มีแค่บริการเดียว แต่จะมีหลายบริการที่เพิ่มเติมเข้ามาสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้มากขึ้น และทุกธุรกิจก็จะใช้ข้อมูลอินไซด์ตรงนั้นมาขยายโอกาสให้กับบริษัทต่อไป

                ซึ่งโลกของเรากำลังเจอสิ่งเหล่านี้ ความฉลาดของคอมพิวเตอร์ และการประมวลผลของดาต้า ที่เกิดมาจากการเก็บข้อมูลทุกพฤติกรรมของลูกค้า มันจะกลายเป็นขุมทองให้ ยักษ์ใหญ่ได้แสวงหาโอกาส ยกตัวอย่าง อเมซอน ของสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นจากการตลาดขายหนังสือ แต่ปัจจุบันขยายไปยังอีคอมเมิร์ซ, ค้าปลีก, เอไอ, ดิจิตอล สตรีมมิ่ง ซึ่งที่เขาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะเขามีข้อมูลมหาศาล ในปัจจุบันอเมซอนมีสินค้าเทคโนโลยี AI ที่เรียกว่า alexa ซึ่งตอนนี้ในอเมริกา เจ้า alexa มันกลายเป็นศูนย์กลางภายในบ้าน และทำหน้าที่จัดการข้อมูลทุกอย่างให้กับเจ้าของ และหลังๆ ดูเหมือนว่าระบบ AI มันฉลาดขึ้น และเริ่มคิดแทนเจ้าของแล้ว ปัจจุบัน alexa ได้เข้าไปร่วมงานกับแบรนด์สินค้าต่างๆ ซึ่งบางครั้ง Alexa มันจะแนะนำสินค้าตัวดังกล่าวให้กับลูกค้า จนสินค้านั้นขายดีถล่มทลาย

                นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งไทยเราก็คงจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่กำลังเข้ามาในเวลานี้ไม่ได้ ในยุคที่การค้าขายเสรี และค้าขายแบบไร้พรมแดน โดยที่ไม่ต้องเข้ามาอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง ธุรกิจของไทยเราเองก็ต้องมีการปรับตัวเพื่อการแข่งขัน เพราะเราไม่มีทางรู้ชัดเลยว่า ทุนใหญ่ หรือแพลตฟอร์มขนาดใหญ่จะเข้ามากลืนธุรกิจของประเทศอื่นเมื่อไหร่ ดังนั้นบริษัทยักษ์ใหญ่ในไทยก็พยายามที่จะดิ้นรนเพื่อปรับตัวในการแข่งขันในระบบนี้ ซึ่งผู้ที่ครอบครองข้อมูลมากที่สุดคือผู้ชนะ

                ดังนั้นในช่วง 3-5 ปีนี้ เราคงเห็นธุรกิจยักษ์ใหญ่จะพยายามทำตัวเป็นยักษ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 1.เพื่อที่จะต่อกรกับคู่แข่งต่างชาติ 2.เพื่อที่จะรักษาการเติบโตของธุรกิจต่อไป 3.ข้อมูลคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา

                เรียกได้ว่า โลกธุรกิจในยุคต่อไปจะเป็นยุคของช้างชนช้าง พวกหญ้าแพรกอย่างเราๆ ท่านๆ คือเอสเอ็มอีจะต้องเลือกทีมเพื่อเข้าร่วมว่า จะไปอยู่กับช้างไหน ถ้าไม่เข้าร่วมเราก็ถูกเหยียบตายพอดี.

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"