ไม่ใช่แต่ในสังคมไทยที่กำลังมีปัญหากับประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดูเหมือนในอีกหลายๆ ประเทศก็พยายามที่จะหามาตรการและวางแนวทางรับมือกับตัวเลขผู้สูงวัยที่ทวีจำนวนเสมือนเป็นเงาตามตัวกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย
เพราะนวัตกรรมที่พัฒนาเอาชนะกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราการตายนั้นลดลงในปัจจุบัน รวมทั้งทำให้คนอายุยืนมากขึ้น ในขณะที่ตัวเลขการเกิดของเด็กรุ่นใหม่กลับถดถอย นั่นเป็นเพราะครอบครัวยุคใหม่นั้นรักชีวิตอิสระและไม่ชอบการผูกมัด
ดูเหมือนว่าประเทศจีนเป็นอีกประเทศหนึ่งที่กำลังหนักใจกับเรื่องคนแก่ในบ้านเขาไม่แพ้บ้านเรา เห็นได้จากคลิปการ์ตูนสดๆ ร้อนๆ จากจีนที่ต้องการรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่รู้จักดูแลและมีน้ำใจกับผู้สูงอายุ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ประเทศที่มีอารยธรรมอันเก่าแก่ อีกทั้งสอนสั่งเรื่องการเคารพนบนอบบรรพบุรุษผู้แก่เฒ่าแบบเคร่งครัด ถึงขั้นผู้ใหญ่ไม่คีบกับข้าวก่อน เด็กๆ ห้ามตักก่อนเพื่อเข้าปาก แม้ว่าจะหิวขนาดไหน ...
วันนี้ประเทศจีนมีปัญหาช่องว่างระหว่างวัย ถึงขั้นรัฐบาลต้องทุ่มเทงบประมาณเพื่อกระตุ้นเตือนจิตสำนึกในการรู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่กันใหญ่โตมากมาย
พอได้ไปสัมผัสกับชีวิตจริงของคนจีนในระยะสั้นๆ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็สัมผัสถึงบรรยากาศแห่งช่องว่างในแบบที่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะถึงขั้นมีการกล่าวประชดประชัน หรือล้อเลียนคำรณรงค์ของรัฐบาลซึ่งพยายามบอกว่า
“คนแก่ไม่ใช่คนใจร้าย”... แต่คนใจร้ายมักจะเป็นคนแก่
ประโยคหลังคือประโยคที่วัยรุ่นและวัยทำงาน “ต่อยอด” แบบเจ็บๆ คันๆ ซึ่งสะท้อนว่า คนรุ่นใหม่หรืออายุน้อยกว่า 40 ลงมาก็สงสัยเหมือนกันว่า ทำไมพวกเขาต้องเรียนหนัก ทำงานหนัก เสียภาษีหนัก แล้วยังต้องเสียสละมากมายให้กับคนที่เขาไม่รู้จักด้วย
อารมณ์ไม่เข้าใจนั้น ว่ากันว่า เกิดจากการดำรงชีวิตประจำวันที่เขาต้องแย่งกันขึ้นรถไฟใต้ดินไปเรียนบ้าง ไปทำงานบ้าง พอกลับบ้านเขาก็อยากจะนั่งสบายๆ บ้าง แต่มนุษย์ลุงมนุษย์ป้าเมื่อมาขึ้นรถไฟหรือรถเมล์จะมาทวงสิทธิ์กับพวกเขา กระแทกใส่พวกเขา ราวกับเขาไปแย่งที่นั่งของผู้สูงวัย ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว คนว่างงานอย่างมนุษย์ลุงมนุษย์ป้าสามารถเลือกเวลาการสัญจรได้ หรือเลี่ยงช่วงเวลาเร่งด่วนได้นี่นา?!?
“ที่น่าเจ็บใจคือ เวลามีโปรโมชั่นลดราคาที่ห้างสรรพสินค้าต่างๆ นั้น มนุษย์ลุงมนุษย์ป้ากลับกระฉับกระเฉง สามารถลุกขึ้นมาแย่งชิงซื้อของราคาถูกได้โดยลืมความแก่ของตัวเองไปได้ทันที” นี่เป็นคำอธิบายบอกเล่าของไกด์คนจีนพูดไทยได้ถึงเหตุผลที่ทำไมคำรณรงค์ของรัฐบาลว่า “คนแก่ไม่ใช่คนใจร้าย” จึงถูกต่อยอดต่อท้ายด้วยประโยคว่า ... แต่คนใจร้ายมักจะเป็นคนแก่!!!
มันเหมือนบอกกันเป็นนัยๆ ว่า เด็กยุคดิจิตอลไม่ได้ชอบให้บังคับ ในขณะเดียวกันเขากำลังฟ้องบอกว่า สิ่งที่เขาพบกับชีวิตจริงนั้นแตกต่างจากความพยายามในการโฆษณาชวนเชื่อของผู้ใหญ่อย่างชัดเจน
ฉะนั้นเสียงสะท้อนจากปากของเด็กคงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่นี่แหละควรนำมาพิเคราะห์ พิจารณา และทบทวนตรวจสอบ มากกว่าจะไปตั้งข้อกล่าวหาว่าเด็กรุ่นใหม่หัวใจหยาบกระด้างเหมือนหุ่นยนต์
สำหรับป้าเองมองปัญหาความแก่ที่เมืองจีนแล้ว ก็ต้องหันกลับมามองดูบ้านเราเอง เพราะจีนกับไทยเหมือนพี่น้องกัน และทุกวันนี้เชื้อสายไทยกับจีนก็กลมกลืนกันอย่างแนบเนียน แยกแยะได้ยากกันละ
การดูสังคมที่เจริญมากๆ ทางวัตถุเป็นตัวอย่าง แล้วเตรียมรับมือไว้ก็ดีกว่าแก้ปมไม่ออกในอนาคตนะจ๊ะ.
"ป้าเอง"
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |