ที่ประชุม UN Climate Action ระบุปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่โลกปล่อยยังคงเพิ่มสูงขึ้น และไม่มีทีท่าจะลดลง ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา (2016-2019) อุณหภูมิโลกร้อนทะลุสถิติถึง 4 ครั้ง เฉพาะที่แถบขั้วโลกเหนือเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียลเมื่อเทียบกับปี 1990 ระดับน้ำทะเลกำลังเพิ่มสูงขึ้น ปะการังกำลังตาย การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศคุกคามชีวิตมนุษย์มากขึ้นทุกที มีผลต่อสุขภาพ ทั้งจากมลพิษอากาศ คลื่นความร้อน เสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหาร เหล่านี้เป็นสัญญาณโลกร้อนที่ทุกคนรู้สึกได้
ในระดับกว้างบั่นทอนเศรษฐกิจประเทศ และจะแรงมากขึ้น กระทบวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกันกระตุ้นให้สังคมตระหนัก ช่วยกันแก้ไข
หวังว่าทุกคนทั่วโลกทุกประเทศจะร่วมมือกัน ตั้งเป้าในเวลาไม่เกิน 12 ปี ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ให้อุณหภูมิเพิ่มอีก 2 องศาหรือต่ำกว่านั้น ซึ่งองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization หรือ WMO) วิเคราะห์ว่า ภายในศตวรรษนี้อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นอีก 3-5 องศาเซลเซียส
ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ยังเป็นแนวทางหลักที่ยึดถือ ทั้งนี้ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามข้อตกลง
เป้าหมายการประชุมปีนี้ (2019) แต่ละประเทศจะต้องเสนอแผนปฏิบัติการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อยร้อยละ 45 ใน 10 ปีข้างหน้า และให้ตัวเลขสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 (ตัวเลขสุทธิคือมีการปล่อยและลดก๊าซเรือนกระจก แต่รวมแล้วเป็นศูนย์)
รายงานล่าสุดจากสถาบัน “ประเมินภูมิอากาศแห่งชาติ” (National Climate Assessment) อันเป็นผลงานร่วมของหน่วยงานภาครัฐสหรัฐหลายหน่วยชี้ว่าภาวะอากาศโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้นเหตุมาจากฝีมือมนุษย์ ผลจากภาวะโลกร้อนกระทบถึงสหรัฐแล้วและรุนแรงชัดเจนยิ่งขึ้น มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพ ภาวะเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางอาหาร (ยกตัวอย่าง ผลผลิตการเกษตรลดลงเนื่องจากอากาศร้อนขึ้น เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง) ระบบธรรมชาติเปลี่ยนไป
คนจน ผู้มีรายได้น้อยจะเห็นผลกระทบร้ายแรงก่อน
เสียงจากเยาวชนคนรุ่นใหม่ :
ในการสัมมนาแก้ปัญหาโลกร้อนเอ่ยถึงความสำคัญของเยาวชนคนรุ่นใหม่ใน 2-3 ประเด็น นั่นคือการตัดสินใจใดๆ จะต้องคำนึงอนาคตของผู้มีชีวิตในอีกหลายสิบปีข้างหน้า ต้องฟังเสียงของเยาวชน และต้องให้พวกเขามีส่วนร่วมในทุกมิติ
การชุมนุมปีนี้เด็กเยาวชนทั่วโลกกว่า 4 ล้านคนร่วมรณรงค์แก้ปัญหาภาวะโลกร้อน สนับสนุนการรณรงค์ของสาวน้อยเกรตา ธันเบิร์ก ผู้เป็นแรงบันดาลใจ หลายคนทำป้ายรณรงค์ของตัวเอง บางคนชูคำขวัญ “Make The Earth Great Again.”
กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านภาวะโลกร้อนเรียกร้องให้ผู้นำประเทศต่างๆ ยอมรับว่าภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องเร่งด่วนฉุกเฉิน จะมีประโยชน์อะไรเมื่อผู้ใหญ่สอนเราให้เป็นคนดีมีความรับผิดชอบ แต่กลับเป็นผู้ทิ้งปัญหาแก่คนรุ่นหลัง ต้องลงมือแก้ไขจริงจัง ไม่ใช่ดีแต่พูด
พวกเขาคนรุ่นหลังต้องเป็นผู้แบกรับความทุกข์บนความสะดวกสบาย ขาดความรับผิดชอบของผู้ใหญ่ในรุ่นนี้ พวกเขามีสิทธิที่จะเรียกร้องขออนาคตที่สดใสกว่านี้
บางคนเอ่ยถึงผลร้ายที่ไม่ได้มาจากประเทศตัวเอง เนื่องจากประเทศตนปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย
ต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว :
ข้อเรียกร้องดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของสหประชาชาติที่นำเสนอว่าหากต้องการบรรลุเป้าหมายไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอีก 1.5-2 องศาเซลเซียล จะต้องรักษาสิ่งแวดล้อมให้มากกว่าที่ทำอยู่อย่างน้อย 3 เท่าตัว
ประเด็นจึงไม่อยู่ที่ไม่ทำเล แต่อยู่ที่ทำน้อยเกินไป หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก 10 ปีจะเห็นหายนะจากภาวะโลกร้อน
รายงานล่าสุดของ Global Commission on Adaptation เตือนว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกประเทศต้องตัดสินใจว่าเลือกที่จะลงทุนป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ หรือเลือกที่จะไม่ลงมือตอนนี้ แต่รับผลกระทบรุนแรงในอนาคต และจะเสียโอกาสครั้งสำคัญ เช่น หากไม่ลงมือแก้ไข ปี 2030 ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะมีคนยากจนเพิ่มขึ้น 100 ล้านคน
ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วม ตั้งแต่รัฐบาล เอกชน กลุ่มประชาสังคม หน่วยงานท้องถิ่นจนถึงองค์กรระหว่างประเทศ หารือใน 6 หมวด ได้แก่ การใช้พลังงานทดทน โครงสร้างพื้นฐานกับเมืองที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น การเกษตรยั่งยืน การจัดการป่าและทะเล การฟื้นฟูผลกระทบ และปรับงบประมาณสู่เศรษฐกิจใหม่
มุมมองด้านบวก :
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีใหม่ให้ความหวังแก้ปัญหาได้ไม่น้อย เช่น พลังงานทดแทนหรือพลังงานหมุนเวียนที่ต้นทุนต่ำลงเรื่อยๆ ต่ำกว่าน้ำมันเชื้อเพลิง รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นที่นิยมมากขึ้น
อันที่จริงแล้ว การลดก๊าซเรือนกระจกสามารถทำได้หากผู้เกี่ยวข้องกล้าตัดสินใจ
บริษัทยักษ์ใหญ่เกือบร้อยแห่งทั่วโลกประกาศร่วมลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก หลายบริษัททั่วโลกประกาศแล้วว่าจะให้ตัวเลขสุทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 บางบริษัทประกาศเป้าตามข้อตกลงปารีส
ความร่วมมือจากบรรดาบริษัทเอกชนเป็นนิมิตหมายอันดี การเคลื่อนไหวของเอกชนจะส่งเสริมเพิ่มความร่วมมือจากประชาชน ทำนองเดียวกับที่นโยบายรัฐบาลกับการตื่นรู้ของประชาชนผลักดันให้อีกฝ่ายต้องเร่งอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ไม่ใช่พวกโลกสวย แต่มองโลกตามความจริง :
ความท้าทายมีหลายเรื่องโดยเฉพาะความร่วมมือจากรัฐบาลประเทศต่างๆ เอกชนและประชาชน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า “ผมไม่เชื่อ” รายงานวิจัยทั้งของในและต่างประเทศที่ชี้ว่าภาวะโลกร้อนกำลังเป็นภัยร้ายแรงต่ออเมริกา ภายใต้ระบบการเมืองอเมริกา ประธานาธิบดีเพียงคนเดียวสามารถบดบังทุกผลการวิจัย ยังคงเดินหน้าต่อต้านข้อตกลงปารีส ถอนกฎระเบียบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหลายฉบับที่ใช้ในสมัยรัฐบาลโอบามา
รัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส 2015 (2015 Paris Climate Accord) ด้วยเหตุผลว่าประโยชน์ที่ได้จากการแก้ไขภาวะโลกร้อนน้อยกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ต้องสูญเสียหากปฏิบัติตามข้อตกลง
ประเด็นน่าคิดคือที่อ้างว่าผลประโยชน์ที่ได้น้อยกว่าราคาทางเศรษฐกิจที่ต้องจ่ายนั้นรัฐบาลทรัมป์ได้ศึกษาและมีข้อสรุปเช่นนั้นจริงหรือไม่ เพราะรายงานจากสถาบัน “ประเมินภูมิอากาศแห่งชาติ” ของสหรัฐประเมินความเสียหายต่อเศรษฐกิจไว้มหาศาล อีกทั้งเป็นการมุ่งผลประโยชน์อย่างคนสายตาสั้นหรือไม่ เพราะผลกระทบจากภาวะโลกร้อนจะร้ายแรงมากในอนาคต มีวาระซ่อนเร้นหรือไม่
รัฐบาลทรัมป์เป็นเพียงตัวอย่างที่นำมาเอ่ยถึง ความจริงแล้วอีกหลายสิบประเทศทั่วโลกเป็นเช่นนี้
ในระดับประชาชน หลายคนตระหนักปัญหาแต่ไม่คิดจ่ายราคาเพื่อแก้ปัญหา สิ่งนี้เกิดขึ้นกับชาวตะวันตกในประเทศประชาธิปไตยด้วย ผู้คนจำนวนมากไม่อยากเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตที่คุ้นเคย
ถ้ายึดระบอบเสรีประชาธิปไตย หากจะโทษรัฐบาลก็ไม่ถูกนัก ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ความสุขเฉพาะหน้าต้องมาก่อน หรือที่เป็นอยู่แทบจะแบกรับไม่ไหวอยู่แล้ว
ความร่วมมือจากประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ มีผลต่อนโยบายจากภาครัฐหรือเอกชน นักวิเคราะห์บางคนเห็นว่าการผลักดันที่แรงเกินอาจเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ
เสรีภาพอาจเป็นเหตุทำลายล้างตัวเองถ้าปราศจากการยึดถือหลักการที่สร้างความยั่งยืน
จะว่าไปแล้วรัฐบาลทรัมป์อาจมีเหตุผลคล้ายกับพวกผู้ที่ไม่อยากจ่ายราคา หรืออาจมีเหตุผลความจำเป็นของตนเอง เป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงต่อไป
การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก (global climate change) หรือภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการรณรงค์เรื่อยมา แต่ความพยายามไม่มากพอ โลกจึงร้อนขึ้นอีก มีหลักฐานปรากฏหลายประเทศที่อุณหภูมิร้อนทำลายสถิติ ประเทศในซีกโลกเหนือที่มักหนาวกลับเป็นร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บางพื้นที่แล้งจัด บางพื้นที่ท่วมหนัก ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทุกที พื้นผิวแผ่นดินหดหาย บางประเทศที่เป็นเกาะจะจมบาดาลในที่สุด โรคเกี่ยวกับพืชสัตว์และคนบางชนิดกำลังสร้างปัญหา เช่น โรคที่มากับยุง ผลกระทบเหล่านี้เป็นผลสะท้อนคอยทิ่มแทงบอกพลเมืองโลกว่าปัญหารุนแรงเพียงไร ยิ่งทำลายสิ่งแวดล้อมปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ผลสะท้อนยิ่งทวีความรุนแรง นำสู่คำถามว่าควรจัดการอย่างไร อาจเป็นเหตุให้มนุษย์ใกล้ชิดโลกมากขึ้น มนุษย์ด้วยกันใกล้ชิดกันมากขึ้น ร่วมมือกันมากขึ้น เพราะอยู่ในโลกใบเดียวกัน
การเอ่ยถึงปัญหาโลกร้อนแต่ละครั้งเป็นโอกาสให้แต่ละคนทบทวนตัวเองว่ามีส่วนร่วมช่วยกันทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นหรือไม่.
----------------------
ภาพ : โปสเตอร์หนึ่งของผู้ชุมนุม ‘พวกคุณฆ่าพวกเรา’
ที่มา : https://www.spiegel.de/international/europe/bild-1287797-1471185.html
----------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |