อาชีพการให้บริการในการเป็นผู้ติดต่อประสานงานเพื่อการโน้มน้าวจูงใจให้บุคคลหรือองค์กรทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการของผู้ว่าจ้าง ที่เรียกว่า Lobbyist ในสหรัฐอเมริกานั้น เป็นอาชีพที่สามารถทำได้อย่างเปิดเผย แต่ผู้ที่ประกอบอาชีพดังกล่าวจะต้องจดทะเบียนเป็นเรื่องเป็นราวว่าจะประกอบอาชีพในการให้บริการดังกล่าว และเมื่อรับจ้างใครหรือองค์กรใดให้ทำหน้าที่อะไรก็จะต้องเปิดเผย จะลักทำแอบทำไม่ได้ ดังนั้นเมื่อมีนักการเมืองจากเมืองไทยไปติดต่อว่าจ้างบริษัทที่มีอาชีพดังกล่าวทำหน้าที่เป็น Lobbyist เรื่องของการว่าจ้างของเขาก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องเปิดเผย ดังนั้นการที่มีเอกสารสัญญาว่าจ้างปรากฏออกมาก็ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไร เพราะตามธรรมเนียมปฏิบัติ เรื่องการว่าจ้างดังกล่าวนี้จะต้องเป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะอยู่แล้ว แต่เมื่อดูในสัญญาว่าใครจ้าง และจ้างให้ทำอะไรแล้ว เราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ เพราะการที่เราติดตามและรับรู้พฤติกรรมและทัศนคติของคนว่าจ้าง และสิ่งที่เขากำหนดให้บริษัท Lobbyist จะต้องทำนั้น ทำให้เราอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าถ้าหากบริษัทดังกล่าวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลแล้ว ประเทศไทยจะเป็นเช่นไร
เขาว่าจ้างให้บริษัท Lobbyist ดังกล่าวให้เป็นผู้ติดต่อประสานงานกับองค์กร บุคคล และสื่อต่างๆ เพื่อให้เขามีโอกาสได้เผยแพร่เรื่องราวการเมืองของประเทศไทยให้ชาวโลกได้ตระหนักรู้ระบบนิเวศของการเมืองไทย ทำให้เราเกิดคำถามว่าเนื้อหาสาระที่เขาจะเผยแพร่ให้ประชาคมโลกได้ตระหนักรู้ระบบนิเวศของการเมืองไทยนั้นจะเป็นเนื้อหาแบบไหน อย่างไร จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จอย่างไร จะทำให้ภาพลักษณ์การเมืองของประเทศไทยดีขึ้นหรือแย่ลง ที่เรารู้สึกเป็นห่วงก็เพราะว่าเขาเป็นคนที่พูดเรื่องที่ไม่จริงบ่อยครั้งแล้ว จะพูดไม่จริงเพราะเขาไม่รู้หรือเขาจงใจโกหก เราก็ไม่อาจจะรู้ได้ เขาเป็นคนที่มีทัศนคติที่หลายคนเชื่อว่าเขาชังชาติ และไม่พอใจอะไรหลายๆ อย่างในประเทศไทย เขาพูดถึงสถาบันต่างๆ ในประเทศไทยด้วยความรู้สึกที่เป็นลบหลายครั้งหลายครา เขาเป็นคนที่ไม่พอใจขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทย เขามีทัศนคติที่ไม่ดีต่อทหาร ต่อผู้อาวุโส หลายครั้งสิ่งที่เขาพูดนั้น ก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างคนต่างวัย แล้วถ้าหากบริษัท Lobbyist ที่เขาจ้าง ทำงานสำเร็จ ให้เขาได้พบผู้นำประเทศต่างๆ ได้สัมภาษณ์ออกสื่อต่างๆ ได้เป็นผู้บรรยายหรือเป็นองค์ปาฐกในการประชุมต่างๆ แล้วเขาพูดถึงประเทศไทยตามความรู้สึกชังชาติของเขา เรื่องราวของประเทศไทยที่ประชาคมโลกได้รับรู้จะเป็นเช่นไร
เขาคุยกับสื่อต่างประเทศว่าประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย และยังพูดจาขอร้องให้คนอเมริกันเข้ามาช่วยทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยด้วย คำพูดนี้ไม่ดีเลยสำหรับประเทศไทย ประการแรกเขาประณามประชาธิปไตยของไทยให้คนอเมริกันรู้สึกไม่ดีกับประเทศไทย ไม่สบายใจที่จะคบหากับประเทศไทย ประการที่สอง การที่เขาบอกให้คนอเมริกันมาทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยนั้น จะเรียกว่าเป็นการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ ถ้าประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย ทำไมเราต้องเอาไปประกาศให้คนอื่นเขารู้ และถ้าหากประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตย ทำไมเราไม่ช่วยกันทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยด้วยตัวเราเอง เราจะไปดึงคนในประเทศอื่นเข้ามาวุ่นวายแทรกแซงกิจการภายในประเทศของเราทำไม
นอกจากนี้ เขายังเคยพูดว่าคดีบางคดีที่ตัดสินไปแล้วนั้นไม่มีความยุติธรรม สมควรจะต้องรื้อคดีมาสอบสวนทวนความพิจารณากันใหม่ และเขาบอกว่าในการรื้อคดีครั้งนี้ ศาลจะต้องตัดสินคดีอย่างมีเสรีภาพและมีความยุติธรรม การที่เขาพูดเช่นนี้ แสดงว่าเขามองว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยที่ผ่านมาไม่มีเสรีภาพ ถูกครอบงำโดยใครบางคนหรือคนบางกลุ่ม ทำให้การตัดสินคดีทั้งหลายไม่มีความยุติธรรม นี่คือการหมิ่นศาลชัดๆ การที่เขาพูดให้ร้ายกระบวนการยุติธรรมเช่นนี้ คนต่างชาติที่ไหนจะมีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะการบังคับใช้กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมเป็นปัจจัยสำคัญที่ต่างชาติใช้ในการพิจารณาว่าจะมาลงทุนในประเทศไทยหรือไม่ ถ้าหากพวกเขาไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย พวกเขาจะไม่มา แล้วเราจะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเราได้อย่างไร
เพียงแค่ตัวอย่างข้างต้น ผนวกกับทัศนคติของเขา พฤติกรรมการทำงานการเมืองของเขา การทำผิดแบบท้าทายกฎหมายของเขาหลายครั้งหลายครา การกล้าพูดสิ่งที่ไม่จริง การสร้างวาทกรรมบิดเบือนความจริง การพูดจาในที่ต่างๆ ที่ผ่านมาของเขา ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจจริงๆ ที่คนเยี่ยงนี้จ้างบริษัท Lobbyist ทำหน้าที่ประสานงานให้เขาได้มีโอกาสในการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับระบบนิเวศของการเมืองไทยให้ประชาคมโลกได้รับรู้ เขาจะพูดความจริงมากน้อยแค่ไหน เขาจะกล่าวหาประเทศด้วยข้อความที่เป็นเท็จมากน้อยเพียงใด เขาจะทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยหรือไม่ เขาจะทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทยอย่างไร ด้วยทัศนคติของคนชังชาติที่เคยพูดจาให้ร้ายประเทศไทยด้วยวาทกรรมที่บิดเบือนความจริงมาแล้วหลายๆ ครั้ง ถ้าหากเขามีโอกาสได้พบผู้นำประเทศต่างๆ ได้ให้สัมภาษณ์ออกสื่อต่างๆ ได้ไปแสดงปาฐกถาในการประชุมสัมมนาของหน่วยงาน องค์กรสถาบันต่างๆ เขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับประเทศไทย สิ่งที่เขาพูดจะเป็นผลดีหรือผลร้ายสำหรับประเทศไทย คิดแล้วใจหายจริงๆ เมื่อรู้ว่ามีการว่าจ้างดังกล่าวนี้ ทำให้อดคิดถึงลักษณะ 3 ประการของนักการเมืองตามแนวคิดของ Machiavelli ไม่ได้
นักวิชาการทางการเมืองสรุปว่านักการเมืองแบบ Machiavelli นั้น (1) เป็นคนที่แสวงหาอำนาจและจะทำทุกทางให้ตนเองได้อำนาจโดยไม่ต้องคิดถึงจริยธรรม (2) เป็นคนที่หลงตัวเองว่าเก่งกว่าใครๆ สิ่งที่ตนเองคิดนั้นถูกต้องเสมอ และ (3) เป็นคนที่มีอาการป่วยทางจิต (Mental illness หรือ Psychopath) ที่ไม่เคยรู้สึกละอายที่จะพูดโกหก (They feel free to lie) ถ้าหากประเทศไทยมีนักการเมืองตามแนวคิดของ Machiavelli เป็นใหญ่ในแผ่นดิน หรือมีโอกาสที่จะทำอะไรที่ให้ร้ายประเทศไทย ลองคิดดูว่าประเทศไทยเราจะเป็นเช่นไร
การจ้างบริษัท Lobbyist ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องความลับที่จะปิดบังกันได้ แต่การที่ได้รู้ว่าใครเป็นคนจ้าง และจ้างให้บริษัท Lobbyist ให้ทำอะไรต่างหากที่รู้แล้วจะรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเรื่องราวที่ออกจากปากคนที่มีทัศนคติเชิงลบต่อประเทศชาติในหลายๆ ด้าน จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศได้อย่างไร น่าห่วงนะคะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |