เนื่องในวันคริสต์มาศ


เพิ่มเพื่อน    

 (1)

พรุ่งนี้วันจันทร์ที่ 25 ธันวาฯ...ตรงกับวันคริสต์มาศ ด้วยความหนาวๆเย็นๆที่ยังไม่ถึงกับจางหาย อาจช่วยเพิ่มบรรยากาศการเฉลิมฉลองคริสต์มาศ ให้คึกคัก สดใส ยิ่งๆขึ้นไป เพราะแต่แรกเริ่มเดิมที ตั้งแต่ยังไม่มีวันคริสต์มาศ หรือตั้งแต่ “พระเยซู”ท่านยังไม่ได้ทรงประสูติ ช่วงหนาวๆแบบนี้นี่แหละ ที่ผู้คนยุคโบร่ำโบราณเขามักจัดให้มีพิธีเฉลิมฉลอง จุดไฟไล่ความหนาวกันเป็นกองๆ ในช่วงจังหวะเวลาที่เรียกๆกันว่า “เห-มา ยัน” อันกลายเป็นสิ่งที่สอดคล้องรองรับกับ “วันคริสต์มาศ”ไปแบบพอดิบ พอดี...

(2)

สิ่งที่อาจถือเป็น “เสน่ห์”อย่างหนึ่ง...ของวันคริสต์มาศ ก็คงหนีไม่พ้น “เสียงเพลง”นั่นแหละทั่น แม้ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์หรือเกี่ยวอะไรกับชาวคริสต์เขาเลย แต่ต้องยอมรับว่า ตั้งแต่มีโอกาสได้ยินเสียงเพลง “จุงกะเบน...จุงกะเบน” (Jingle Bell)มาตั้งแต่เด็กๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันออกจะไพเราะ น่ารัก น่าเอ็นดู อยู่ไม่น้อย ยิ่งตามมาด้วยเพลง “Silver Bells” หรือ “White Christmas”โดยเฉพาะถ้าเป็นสุ้มเสียงของคุณพี่ “วิตร” หรือ “Elvis Presley”แล้วล่ะก็ ต้องเรียกว่า...เล่นเอาหลับตาพริ้ม ซุกอยู่ในผ้าห่มได้เป็นชั่วโมงๆ คือมันได้บรรยากาศเย็นฉ่ำทั้งภายนอก ภายใน ได้แบบอัตโนมัติ...

(3)

หรือถ้าอยากจะให้เย็นในระดับแม่คะนิ้ง ระดับลบ 1 ลบ 2 องศา อะไรประมาณนั้น คงต้องลองฟัง “Walking In The Air”ของ “Aled Jones”ช่วงที่ยังเป็นเด็กๆ หรือเสียงยังไม่ทันแตก เรียกว่า...ถ้าดันเพลิดเพลินไปกับจินตนาการในเสียงเพลง ปานประดุจได้เหาะไป-เหาะมาในพายุหิมะ...เผลอๆอาจต้องวิ่งหาถุงเท้ามาหุ้มเท้าไว้ซักชั้น สองชั้น คือมันให้บรรยากาศ สดใส เริงร่า สะอาด สงบเย็น ได้อย่างไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ยิ่งถ้าหากช่วงดึกๆดื่นๆด้วยแล้วล่ะก็ ลองถ้าได้ยินเพลง “Silent  Night” หรือ “The Little Drummer Boy”โหยหวน ครวญคราง หรือกระหึ่มก้องขึ้นมาเมื่อไหร่ ใครที่ดันไปฉลองคริสต์ มาศอยู่ตามผับ ตามบาร์ ไปมั่วอยู่กับซานตาคลอสประเภทนุ่งน้อย ห่มน้อย ชนิดกะจะ “ครอส” กันไป-กันมาให้จงได้ อาจได้สติขึ้นมาแบบฉับพลัน-ทันที เลิกรินหนา-ปัญญาเกิด-กิเลศงอก หันมากลับบ้าน กลับช่อง หรือยิ่งถ้าได้ฟัง “When A Child Is Born”ฉบับเวอร์ชั่น “Johny Mathis” อาจอยากกลับไปหา “พระเยซู”เอาเลยก็ไม่แน่...

(4)

เพราะพลังความรัก ความศรัทธา ที่ชาวคริสต์เขามีต่อ “พระเยซูคริสต์”นั้น ต้องเรียกว่า...ถือเป็น “แก่นกลาง”ของศาสนาคริสต์เอาเลยก็ว่าได้ แม้ว่าต่างไปจากศาสนาพุทธของเราอยู่บ้าง ตรงที่เราค่อนข้างจะเน้น “ปัญญา”มากกว่า “ศรัทธา”แต่นั่นก็ใช่ว่าจะทำให้อะไรดีกว่า ด้อยกว่า เพราะมันเป็นเรื่องของ “จริต” หรือเรื่องของรสนิยมของใครก็ของมัน ที่ย่อมผิดแผกแตกต่างกันไปเป็นธรรมดา ความหลากหลายที่มีอยู่ในศาสนาแต่ละศาสนา หรือแม้แต่นิกายแต่ละนิกาย “ท่านพุทธทาสฯ”ท่านจึงเปรียบเทียบ อุปมา-อุปมัย เอาไว้เข้าท่า ว่าไม่ต่างไปจาก “อาหารแต่ละประเภท”ที่จัดวางเรียงรายอยู่ตรงหน้า ใครชอบน้ำพริก-ปลาทู ต้มยำ ผัดเผ็ด ชอบนม เนย เบคอน แฮมเบอร์เก้อร์ ฯลฯ ก็เลือกๆรับประทานไปตามจริตของตัวเองนั่นแหละ ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดมาก คิดเล็ก คิดน้อย ว่าอะไรดีกว่า ด้อยกว่า เพราะต่างก็มีสารอาหารหลัก คือมี “ธรรม”เจือปนอยู่ในแต่ละศาสนาไปด้วยกันทั้งสิ้น...

(5)

สิ่งที่ “ท่านพุทธทาสฯ”ท่านเพียรพยายามอยู่ไม่น้อย...ในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็อาจไม่ได้คืบหน้าไปตามที่หวัง ที่คาดจนท่านต้องทิ้งเอาไว้ให้เป็น “มรดก”สำหรับผู้คนรุ่นหลังๆสืบไป หนึ่งในนั้นก็คือ...การหาทางทำให้ศาสนาทั้งหลาย หันมา “สมานฉันท์” หันมาร่วมมือ ร่วมใจ นำพามวลมนุษยชาติทั้งหลาย ให้หลุดออกมาจากวังวนของ “วัตถุนิยม” ที่ท่านถือว่าเป็น “ปรปักษ์ที่แท้จริง”ของทุกๆศาสนา แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่แต่ละศาสนา ยังเต็มไปด้วยพวกที่ชอบคิดเล็ก คิดน้อย แถมเวลาคิดมาก ก็ดันคิดแบบฟุ้งซ่านซะอีกต่างหาก บรรดาศาสนาทั้งหลายเลยยังคงต้อง “เสร็จวัตถุนิยม”อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ แถมบางราย...ยังพยามลากเอาวัตถุนิยมมาดัดแปลงให้กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกันกับศาสนาซะอีกด้วย กลายเป็นวัตถุบูชา เป็นค้อนสวรรค์ เป็นจานบินเอาไว้สำหรับบินไปตักบาตรพระพุทธเจ้าอะไรไปโน่น และประเภทนี้นี่แหละที่มักจะคิดแบบฟุ้งซ่าน หรือคิดเล็ก คิดน้อย หันมาไล่งับศาสนาอื่นๆไม่เว้นแต่ละวัน แต่ละช่วง แต่ละระยะ...

(6)

ด้วยเหตุนี้...ในช่วงที่วันคริสต์มาศกำลังมาถึง แม้ชาวพุทธแบบเราๆ-ทั่นๆจะไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย แต่การหันมาแสดงออกหันมาให้ความสำคัญกับศาสนาที่แตกต่างไปจากเรา โดยยึดเอา “ธรรมะ”ในศาสนานั้นๆเป็นที่ตั้ง เราก็ย่อมสามารถเป็นพุทธ-เป็นคริสต์-เป็นอิสลามภายในตัวเดียวกัน โดยไม่ต้องเอา “ยึดลัทธิพิธี”ให้เป็นอุปสรรค เครื่องกีดขวาง เอาเลยก็ยังได้ และการที่เราสามารถเป็นพุทธ-เป็นคริสต์-เป็นอิสลาม โดยมี “ธรรมะ”เป็นเครื่องค้ำยันนั่นเอง ย่อมส่งผลให้ปณิธาน หรือ “มรดก”ที่ “ท่านพุทธทาสฯ”ท่านทิ้งไว้ให้ เป็นจริง เป็นจัง ขึ้นมาได้ นั่นก็คือ “ความสมานฉันท์ในทางศาสนา”ที่จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้มวลมนุษย์ทั้งหลาย หลุดพ้นไปจากวัตถุนิยม ทุนนิยม บริโภคนิยม ไม่วันใดก็วันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า.                                                     

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"