ความสับสนของรัฐบาลซาอุฯ ต่อสงครามฮูตี


เพิ่มเพื่อน    

 

เช้าวันอาทิตย์ที่ 15 ตามเวลาท้องถิ่น กองกำลังฮูตี (Houthi Militias) ประกาศว่าได้ส่งเครื่องโดรน (เครื่องบินไร้พลขับ) หลายลำเข้าโจมตีโรงกลั่นน้ำมันซาอุฯ รมต.ต่างประเทศ ไมค์ พอมเพโอ (Mike Pompeo) ทวีตข้อความในวันเดียวกับที่เกิดเหตุว่า “ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าเป็นการโจมตีจากเยเมน”

การที่รัฐบาลสหรัฐมีข้อสรุปเบื้องต้นอย่างรวดเร็วน่าเชื่อได้ว่ามีหลักฐาน แต่รัฐบาลอิหร่านปฏิเสธข้อกล่าวหาทันทีเหมือนกัน

                เมื่อพิจารณารายละเอียด บ่อน้ำมันกับโรงกลั่นที่ถูกโจมตีตั้งอยู่ที่เมือง Khurais กับ Abqaiq ทางภาคตะวันออกของประเทศ ทั้ง 2 จุดเป็นแหล่งผลิตน้ำมันขนาดใหญ่ทั้งคู่ กระทบกำลังการผลิตถึง 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือกว่ากึ่งหนึ่งของกำลังผลิตซาอุดีอาระเบีย ราคาน้ำมันดิบโลกพุ่งทะยานทันทีถึง 15 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับความกังวลว่าสถานการณ์จะรุนแรงกว่าเดิมหรือไม่

                ข้อสรุปจากฝ่ายซาอุฯ คือการโจมตีไม่ใช่ฝีมือฮูตี แต่เป็นอิหร่าน ยิงมาจากทิศเหนือ (เยเมนอยู่ทางใต้) โดยใช้เครื่องโดรน 25 ลำกับจรวดร่อน (cruise missiles) กว่า 10 ลูก มีหลักฐานเศษซากชิ้นส่วนน่าเชื่อว่าเป็นอาวุธของอิหร่าน ข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐพูดตรงกันว่าอาวุธเหล่านี้ถูกปล่อยจากอิหร่าน รัฐบาลทรัมป์มีข้อสรุปมานานแล้วว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลังการโจมตีซาอุฯ นับร้อยครั้ง

                เครื่องโดรนหรือเครื่องบินไร้พลขับเป็นที่นิยมในปัจจุบัน มีหลายรุ่นหลายแบบ ตั้งแต่ขนาดใหญ่ยาวสิบเมตร บินได้เป็นพันกิโลจนถึงขนาดเล็กยาวไม่ถึงเมตร บางแบบใช้เทคโนโลยีชั้นสูง บางแบบไม่ต่างจากเครื่องบินบังคับที่เล่นเพื่อความบันเทิง

ซาอุฯ ทำสงครามกับฮูตีหลายปีแล้ว :

                เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่ารัฐบาลซาอุฯ กับพวกเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉากทำสงครามเต็มรูปแบบกับพวกฮูตี มีนาคม 2015 แถลงการณ์ของคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC - ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์และบาห์เรน) ให้เหตุผลที่ต้องแทรกแซงเพราะกองกำลังฮูตียึดอำนาจรัฐบาลประเทศเยเมน บั่นทอนเสถียรภาพของภูมิภาค

                ฮูตีเป็นชื่อเรียกคนเยเมนผู้เป็นมุสลิมนิกายชีอะห์ ข้อมูลจาก The World Factbook 2018 ประเทศเยเมนมีประชากรทั้งสิ้น 28.7 ล้านคน ร้อยละ 99 นับถือศาสนาอิสลาม แยกเป็นซุนนีร้อยละ 65 ชีอะห์ร้อยละ 35

                คนซาอุฯ ส่วนใหญ่เป็นนิกายซุนนีหรือวาห์ฮะบี (การเป็นซุนนีหรือวาห์ฮะบีขึ้นกับการตีความ)

                ต้นเหตุของสงครามไม่ซับซ้อน ตลอดหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลซาอุฯ กับพวกทำสงครามต่อต้านชีอะห์ในแถบตะวันออกกลางอย่างต่อเนื่อง ทั้งในอิรัก ซีเรีย เลบานอน และเยเมน เป็นสงครามตัวแทน (proxy war) ระหว่างรัฐบาลซาอุฯ กับอิหร่านที่เป็นศูนย์กลางของมุสลิมนิกายชีอะห์

                เป้าหมายต่อเยเมนคือต้องการให้เยเมนเป็นรัฐบริวารของซาอุฯ เหมือนหลายรัฐในแถบนี้

                รายงานจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประเมินว่าสิ้นปี 2019 จะมีผู้เสียชีวิตถึง 233,000 รายจากสงครามในเยเมน (ทั้งสงครามกลางเมืองกับสงครามระหว่างฝ่ายซาอุฯ กับฮูตี) ที่น่าตกใจคือร้อยละ 60 ของผู้เสียชีวิตเป็นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เด็กจำนวนมากเสียชีวิตเนื่องจากขาดอาหาร ยาและเวชภัณฑ์ อันเป็นผลจากสงครามที่ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2015

                ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซาอุฯ รายงานว่าที่ผ่านมากลุ่มฮูตีโจมตีซาอุฯ ด้วยขีปนาวุธ 225 ครั้ง เครื่องโดรน 155 ครั้ง การใช้เครื่องโดรนโจมตีโรงกลั่นเป็นอีกฉากหนึ่งของสงครามเท่านั้นเอง

                รอบนี้ รัฐบาลซาอุฯ แสดงท่าทีขึงขังว่าจะตอบโต้ ทำไม ต้องพูดว่าจะตอบโต้ในเมื่อทำสงครามเต็มรูปแบบกันอยู่แล้ว

                เป็นความสับสนของรัฐบาลซาอุฯ หรือไม่

ความขัดแย้งที่ดำเนินมาเนิ่นนาน :

                ตั้งแต่ปี 1984 รัฐบาลสหรัฐตีตราว่าอิหร่านคือรัฐอุปถัมภ์ก่อการร้าย (State Sponsors of Terrorism) จากการสนับสนุนกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ กลุ่มก่อการร้ายในฉนวนกาซา หลายกลุ่มในซีเรียกับอิรัก และอีกมากในภูมิภาคตะวันออกกลาง

                เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี อิหร่านกลายเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของสหรัฐ เพราะสร้างความขัดแย้งและบ่อนทำลายผลประโยชน์สหรัฐในอัฟกานิสถาน บาห์เรน อิรัก เลบานอนและเยเมน อิหร่านระดมกองกำลังชีอะห์จากทั่วโลก ในมุมมองของรัฐบาลสหรัฐฮูตี คือกองกำลังชีอะห์อีกกลุ่มที่อิหร่านสนับสนุน เพื่อทำสงครามตัวแทน

                ทำนองเดียวกัน นับจากปฏิวัติอิหร่านเมื่อปี 1979 เป็นต้นมา รัฐบาลซาอุฯ กับพวกประกาศเป็นศัตรูกับรัฐบาลอิหร่านเรื่อยมา กล่าวซ้ำๆ ว่าอิหร่านเป็นภัยต่อภูมิภาค อิหร่านปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนบ้าน เป็นพวกคนมักใหญ่ใฝ่สูงที่ชอบขยายอำนาจ (expansionist ambitions) พวกก่ออาชญากรรม แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นๆ ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ละเมิดหลักการอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้าน การเคารพซึ่งกันและกัน

                ตั้งแต่เริ่มสงครามกับเยเมน รัฐบาลสหรัฐกับซาอุฯ กล่าวหาอิหร่านเรื่อยมาว่าเป็นผู้หนุนหลังกองกำลังฮูตี ให้อาวุธสนับสนุน ขอให้อิหร่านยุติการสนับสนุนการเงิน ไม่โหมไฟความขัดแย้งจากนิกายศาสนา ไม่เป็นปรปักษ์กับประเทศอื่น ไม่บ่อนทำลายความมั่นคง คุกคามความปลอดภัยในการเดินเรือ

                ดังนั้น ไม่ว่าเครื่องโดรนที่ใช้โจมตีล่าสุดได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านหรืออาวุธเหล่านี้ปล่อยจากอิหร่านโดยตรง ทั้งรัฐบาลสหรัฐกับซาอุฯ ขัดแย้งกับอิหร่านรุนแรงอยู่แล้ว กล่าวได้ว่าทำสงครามกับอิหร่านมานานแล้ว นั่นคือสงครามความแตกต่างระหว่างนิกาย (อย่างน้อยในระดับความคิด) สงครามตัวแทนด้วยกองกำลังต่างๆ  สงครามเศรษฐกิจด้วยการคว่ำบาตรอิหร่านอย่างรุนแรงที่ทรัมป์ใช้คำว่านโยบาย “กดดันสุดขีด” (maximum pressure) เป้าหมายสุดท้ายคือล้มระบอบอิหร่าน

                เป็นอีกความสับสนของรัฐบาลซาอุฯ หรือไม่

วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :

                รัฐบาลซาอุฯ กับพวกทำสงครามเต็มรูปแบบกับกองกำลังฮูตีมานานหลายปีแล้ว กองกำลังฮูตีใช้เครื่องโดรนโจมตีซาอุฯ มาแล้วหลายครั้ง ครั้งล่าสุดใช้กว่า 20 เครื่องโจมตีโรงกลั่นน้ำมันซาอุฯ พร้อมๆ กัน ฝ่ายซาอุฯ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่าเพราะซื้อสะสมอาวุธของสหรัฐกับอีกหลายประเทศจำนวนมาก ส่วนกองกำลังฮูตีไม่มีอาวุธหลัก เช่น เครื่องบินรบ รถถัง ถึงกระนั้นก็ตามแม้ผ่านมาหลายปี ฝ่ายซาอุฯ ไม่สามารถเผด็จศึก กลายเป็นสงครามยืดเยื้อ มีความพยายามเจรจาเพื่อยุติสงครามหลายรอบแต่ยังไม่สำเร็จ  สงครามยังคงดำเนินเรื่อยมา ถ้าวิเคราะห์อย่างซับซ้อนในมุมหนึ่งอาจมองว่าซาอุฯ ไม่ชนะศึก แต่อีกมุมเป็นวิธีเพื่อกดไม่ให้พวกฮูตีมีอำนาจควบคุมประเทศเยเมน รัฐบาลซาอุฯ ได้ประโยชน์อีกหลายเรื่องจากสงครามนี้ แนวคิดนี้อธิบายว่าสงครามจะดำเนินต่อไปอีกนาน

                รัฐบาลทรัมป์กับซาอุฯ พยายามชี้เป้าไปที่อิหร่านว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรือเป็นผู้ใช้เอง ข้อนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เป็นจุดยืนที่รัฐบาลทรัมป์กับซาอุฯ มีต่ออิหร่านมานานแล้ว ดังนั้น ถ้าจะยึดข้อนี้เพื่อทำสงครามกับอิหร่าน รัฐบาลสหรัฐกับซาอุฯ สามารถลงมือได้นานแล้ว ไม่ต้องรอให้โรงกลั่นถูกโจมตี ไม่ต้องรอหาหลักฐานเพิ่มเติมอีก

                ในเมื่อทุกวันนี้ทำศึกกันอยู่แล้ว ทำไมซาอุฯ ต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อเป็นเหตุผลตอบโต้กรณีโรงกลั่นถูกโจมตีอีกเล่า ในยามที่รัฐบาลทรัมป์ยังลังเลใจที่จะใช้กำลังทหารเล่นงานอิหร่านโดยตรง หรือยังไม่คิดทำเช่นนั้น

                ท้ายที่สุดหากรัฐบาลทรัมป์ไม่ตัดสินใจใช้กำลังต่ออิหร่าน พวกซาอุฯ จะไม่ใช้กำลังต่ออิหร่านเช่นกัน สงครามที่เป็นอยู่ดำเนินต่อไป เหตุการณ์เครื่องโดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันที่เกิดขึ้นจึงไม่มีอะไรพิเศษนอกจากผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบโลกพุ่งทะยานกว่า 10 ดอลลาร์อีกพักหนึ่งเท่านั้น ในอนาคตน่าจะมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดซ้ำอีก.

-----------------------------------

ภาพ : ความทุกข์ยากของคนเยเมน

ที่มา : https://news.un.org/en/story/2019/02/1032871

-----------------------------------

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"