คริคริ..ตะมุตะมิ..มนุษย์ป้ายังไม่ตายจะไปรู้ได้ไงว่าชีวิตหลังความตายหน้าตาเป็นยังไง??
แต่วันนี้ชวนเสวนาเรื่อง..ความตาย..ก็เพราะเพิ่งไปงานพิธีสวดพระอภิธรรม "คุณแม่" ของเพื่อนรุ่นน้องที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ปากเกร็ด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ชอบบรรยากาศที่แสนเรียบง่าย สะท้อนวิถีวัดป่าที่เน้นปฏิบัติมากกว่าพิธีกรรมอย่างน่าปีติค่ะ
หลวงพ่อที่วัดนี้ท่านฝากความมาถึงญาติโยมทั้งหลายว่า อย่าปล่อยให้คนตายขายคนเป็นด้วยการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยอีกเลย เพราะดอกไม้มากมาย พวงหรีดสวยหรู อาหารเลิศรสที่ทุ่มเทจัดในงานศพนั้น ..ผู้วายชนม์มิได้รับรู้ด้วยเลย นอกจากนั้น บุญที่เราตั้งใจจะอุทิศไปให้พ่อแม่ญาติพี่น้องผู้เสียชีวิตนั้น ราคาค่างวดแค่ฟังเทศน์ 30 นาที อาจจะได้บุญมากกว่าพวงหรีดราคาหลักพันเสียอีก
เข้าไปในวัดชลประทานฯ เราจึงไม่เห็นหรีดสักพวง แม้แต่ดอกไม้สดก็หาได้น้อย เพราะพระท่านจัดวางทุกอย่างเป็นระเบียบงดงามด้วยดอกไม้ประดิษฐ์ ซึ่งใช้ได้นานแสนนาน ไม่กลายเป็น "ขยะ" รกรุกรังให้เจ้าหน้าที่วัดต้องตามเก็บ และไม่เป็นภาระให้เจ้าของงานหรือเจ้าภาพผู้เสียชีวิตต้องควักกระเป๋า เพื่อให้ใครเข้ามา "เก็บขยะ" ทั้งหลายเมื่อเสร็จพิธีงาน
มีคนลองคิดเล่นๆ เกี่ยวกับความสูญเสียเปล่าประโยชน์จากพวงหรีด ว่าสถิติการตายของคนไทยอยู่ที่ประมาณปีละเกือบ 4 แสนคน โดยเฉลี่ยคือตายกันวันละกว่า 1,000 คน โดยในพิธีศพย่อมต้องมีดอกไม้สำหรับประดับโลงศพ และที่ขาดไม่ได้เลยคือพวงหรีดดอกไม้สดต่างๆ คิดกันเล่นๆ ว่า ถ้าในประเทศไทยต้องมีงานศพกันประมาณวันละ 500 งาน แต่ละงานเอาแค่ว่าใช้พวงหรีดอย่างต่ำ 2 พวง ฉะนั้น 1 วันเท่ากับใช้พวงหรีด 1,000 พวง 1 เดือน ใช้พวงหรีด 30,000 พวง ครึ่งปีผ่านไป หมดพวงหรีดไปแล้ว 180,000 พวง 1 ปีผ่านไป ซากพวงหรีดที่ต้องกลายร่างเป็นขยะเพิ่มปริมาณขึ้นไปเป็น 360,000 พวง ลองนึกดูว่า หากเอาพวงหรีดเกือบ 400,000 พวงนี้วางเรียงซ้อนๆ กันขึ้นไป มันจะเกิดซากขยะสูงท่วมหัวเราสักแค่ไหน
ฉะนั้นก็ต้องย้ำว่า ความตายเป็นสิ่งที่ใครก็ตามหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็นคนฉลาด เป็นอัจฉริยะ เป็นคนโง่ ปราศจากสมอง เป็นคนร่ำรวย ยากจนแสนสาหัส เป็นมหาเศรษฐี เป็นครูบาอาจารย์ เป็นรัฐมนตรี หรือแม้แต่เป็นเกจิอาจารย์ที่คนทั่วโลกนับถือ เฉกเช่นเดียวกับการจัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย ไม่ว่าจะทุ่มเทเงินทองมหาศาล หรือจัดแบบพอเพียงตามพุทธปฏิบัติ สุดท้ายหากลืมที่จะกล่าวคำอุทิศให้ท่านว่า ..อิทังเม ญาตินัง โหตุ สุขิตาโหตุ ..มันก็เปล่าประโยชน์ เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ คนที่ได้คือคนเป็น นั่นคือ ได้หน้าว่าจัดงานยิ่งใหญ่ ทำให้ได้ภาพว่ารักบุพการีเสียเหลือเกิน ในขณะที่คนตายได้แค่แหงนคอรอคอยว่า ทำไมบุญมาไม่ถึง!!
ก็ไม่ว่ากันหรอกค่ะ หากใครยังยึดติดอยู่กับวัฒนธรรมทางสังคม แต่ถ้าเป็นไปได้ "มนุษย์ป้า" ว่าละเลิกเสียดีกว่านะคะ กับการยกก๋วยเตี๋ยว กระเพาะปลา กวยจั๊บ เกี๊ยวน้ำ มาเสิร์ฟให้แขกรับประทานหลังพระเทศน์จบที่ 3 เสร็จสิ้น ...สงสารพระท่านที่ต้องนั่งมองและข่มสติกับกลิ่นที่แสนอบอวลชวนให้เกิดกิเลส
ชวนให้กินก่อนงานเริ่ม หรือแจกให้กินตอนพระท่านทำพิธีเสร็จหมดแล้ว..ก็ยังโอเคกว่านะคะ.
"ป้าเอง"
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |