17 ก.ย.2562 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าจากสถานการณ์โรงกลั่นน้ำมันซาอุดิอาระเบียถูกโจมตี ถึงแม้จะอยู่ในความควบคุมได้แล้ว แต่กระทรวงจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากการประเมินเบื้องต้น จะมีผลกระทบกับราคาน้ำมันดิบตลาดเบรนท์ประมาณ 12% หรือคิดเป็นประมาณ 6-7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะกระทบต่อราคาขายปลีกในประเทศประมาณ 1.40 บาทต่อลิตร ซึ่งในวันที่ 17 ก.ย.นี้ จะมีการนัดประชุมคณะกรรมการบริการนโยบายพลังงาน(กบง.) นัดพิเศษ เพื่อหาแนวทางป้องกันล่วงหน้าหากมีผลกระทบราคาขายปลีกในประเทศรุนแรง ซึ่งอาจจะจะต้องใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาดูแล

“เราได้ประเมินเบื้องต้นโดยทำแบบจำลองสถานการณ์ไว้ว่า หากเหตุการณ์ยืดเยื้ออยู่ประมาณ 1 สัปดาห์จะทำให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกในประเทศไปมากกว่าเดิม ทั้งนี้หากจะใช้เงินกองทุนมาอุดหนุนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 1 บาท จะต้องใช้เงินประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน สถานะกองทุนฯมีเงินคงเหลืออยู่ที่ 39,400 ล้านบาท ซึ่งมีเพียงพอที่จะใช้ดูแลได้ในระยะสั้น ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับผลการประชุม กบง.ด้วย แต่เบื้องต้นยังไม่มีผู้ค้ารายใดที่ปรับราคาขายปลีกขึ้นเนื่องจากราคาตลาดโลกไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงเห็นได้จากช่วงเช้าของวันที่ 16 นี้มีราคอยู่ที่ 71 เหรียญ/บาร์เรล และในช่วงบ่ายลดลงมาเหลือที่ 67 เหรียญ/บาร์เรล”นายสนธิรัตน์ กล่าว

ขณะเดียวกันยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันสำรองในประเทศ เนื่องจากปัจจุบัน ณ วันที่ 16 ก.ย. 2562 ไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบอยู่ที่ 3,366 ล้านลิตร สามารถรองรับการใช้ได้ประมาณ 28 วัน ปริมาณน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่งอีก 1,193 ล้านลิตร สามารถรองรับการใช้ได้ประมาณ 10 วัน และปริมาณน้ำมันสำเร็จรูป 1,848 ล้านลิตร สามารถรองรับการช้ได้ประมาณ 16 วัน ซึ่งรวมจำนวนวันที่สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ทั้งหมด 54 วัน ขณะที่การขนส่งในรอบถัดไปนั้นเบื้องต้นได้รับแจ้งว่าเรือขนส่งไม่ได้รับผลกระทบ