ร้อยล้าน ‘ศรัทธาบริการ’ บิณฑ์


เพิ่มเพื่อน    

  ทฤษฎี "ตาบอดไม่กลัวเสือ" ของทักษิณ ทำให้พรรคการเมืองหนึ่ง ได้ครองอีสานมาร่วม ๒  ทศวรรษ

                แต่ถึงตอนนี้........

                "คนภาคอีสาน" เริ่มตาสว่าง!

                เมื่อตาสว่าง ก็เห็นกองกระดูกคนอีสานที่ถูกเสือจับกินเรี่ยราดไปทั่ว ๒๐ จังหวัด ทั้งอีสานเหนือ-อีสานกลาง และอีสานใต้

                ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ........

                เมื่อน้ำท่วมจังหวัดใหญ่ๆ อย่างอุบลราชธานี ซึ่งมี ส.ส.ถึง ๑๐ คน ทั้งรัฐ ทั้งราษฎร์ ทั้งทหาร-ตำรวจ จิตอาสา หน่วยกู้ภัย พระสงฆ์องคเจ้า ลงไปแช่น้ำช่วยชาวบ้านทั้งวัน-ทั้งคืน

                แต่ปรากฏว่า การช่วยของรัฐนั้น

                กลายเป็นไฟริษยาสุมใจคนกลุ่มหนึ่ง ร้อนรนจนต้องเล่นการเมืองดิบผ่านโซเชียล

                รัฐบาลอยู่ไหน ทหารอยู่ไหน ไม่เห็นออกมาช่วยบ้าง ช่วยไม่ทั่วถึงบ้าง น้ำท่วมอีสาน แต่นายกฯ ลงไปใต้บ้าง

                บ้างก็ดรามา.....

                ร้องห่ม-ร้องไห้ ทีภาษีจะเอา เดือดร้อนไม่มีใครเหลียวแล อดข้าว-อดน้ำมาหลายวัน

                แล้วขบวนการก็ถ่ายคลิปกระจายลงโซเชียล

                คนไทยใจพุทโธอยู่แล้ว เห็นก็สงสาร น้ำตาเล็ด-น้ำตาร่อย นึกว่าเรื่องจริง

                ด่าใครก็ไม่เป็นมงคลทั้งตัวเองและครอบครัว ก็พากันชยันโตนายกฯ จนขันน้ำมนต์กระฉอก

                แต่ไม่นาน กระแสก็ตีกลับ ด้วยเทคโนโลยี "จับโป๊ะ" ว่าพวกนั้น เป็นใคร มาจากไหน เครือข่ายพรรคใด?

                ยุคนี้ ก็ดีอย่าง......
                ตอแหลง่าย แต่ก็ถูกจับได้ง่าย ด้วยไอที!

                การที่กลุ่มการเมืองสร้างวาทกรรมเสี้ยมให้คนถูกน้ำท่วมเข้าใจผิดรัฐบาลและทหารในยุทธการ "ชิงมวลชน" นั้น

                ยุคก่อนได้ ส่งควายลง คนก็เลือก

                แต่เดี๋ยวนี้ ยากแล้ว เพราะคนอีสานตาสว่าง แยกแยะได้ ไหนการเมือง "กินบ้าน-กินเมือง" และไหนการเมือง "สร้างบ้าน-สร้างเมือง"

                ก็ภาครัฐ ทั้งตำรวจ-ทหาร ชาวบ้าน ระดมออกช่วยกันเหยงๆ ความจริงทิ่มลูกตาอยู่

                เวลาเดียวกัน คนอีสานและชาวบ้านชาวเมืองก็เห็นทิ่มลูกตาเหมือนกัน ว่านักการเมืองแก๊งหนึ่ง ออกมาเหมือนกัน

                ไม่ได้มาช่วย.......

                แต่มาตั้งเวทีปลุกระดม "ล้มรัฐ-ล้มรัฐธรรมนูญ" ว่ามันไม่ดี มันไม่เป็นประชาธิปไตย

                ใช้เลือกตั้งแล้ว พวกกูไม่ได้เป็นรัฐบาล!

                ผมจึงสรุปจากปรากฏการณ์สร้างข่าวว่า ในกรณีนี้ นายกฯ ประยุทธ์ ควรดีใจ มากกว่าโกรธ ที่ถูกใส่ร้าย

                เพราะแสดงว่า สัญญาณล่มสลายของแก๊งที่จับพี่น้องอีสานกินมายาวนาน มาถึงแล้ว

                พวกเขาจับสัญญาณได้ว่า.....

                หัวใจคนอีสานเวลานี้ เปิดอ้าให้นายกฯ ประยุทธ์แทรกตัวเข้าไปนั่งอยู่ข้างในแล้ว

                จึงต้องสกัดกั้นทุกวิถีทาง แม่วิธีนั้นแสนจะจุกบี้ก็ตาม

                แต่ก็ได้ผล ทำเป็นเล่นไป ไม่แค่ทำให้นายกฯ ต้องเต้นตามเพลงเมื่อวาน (๑๖ ก.ย.๖๒) เท่านั้น

                "ทหาร" ที่นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ ถาม "ทหารมีไว้ทำไม" ก็ได้รับผลกระทบทางใจเหมือนกัน ระบายทางเฟซไว้ ดังนี้

                ทหารหลังกองพัน

                "หยาดเหงื่อ" ที่ไม่มีใครมองเห็น

                จุดที่ทำให้เสิงอยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะระยะหลังๆ ผมเห็นคนโพสต์ หรือแสดงความเห็นทำนอง

                "ไม่เห็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ฯลฯ ออกมาช่วยบ้างเลย"

                บางคนถึงขนาดนำเอาไปเทียบกับเคส 13 หมูป่าเสียด้วยซ้ำ

                จุดนี้นะ เสิงคิดว่าปัจจุบันเราเอาเรื่องของการเมืองมาบดบังความเป็นจริงจนมากเกินไป

                บางคนปิดหูปิดตาจนคิดว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ออกมาช่วยเลย มันไปกันใหญ่แล้วครับ

                สมัยที่เสิงเคยเป็นพลทหารเคยได้ออกไปช่วยประชาชนแบบนี้เหมือนกัน

                คุณเชื่อมั้ย ทหารบางคนที่ออกมาช่วย ครอบครัวของเขาก็ประสบภัยเหมือนกัน

                ไม่มีแม้แต่โอกาสได้กลับไปดูบ้านตัวเองด้วยซ้ำ จะเห็นอีกทีก็เหตุการณ์สงบแล้ว

                พอมาเห็นความเห็นลักษณะนี้ ผมบอกตามตรงว่า รู้สึกเสียกำลังใจ แทนคนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่จริงๆ ครับ

                เคส 13 หมูป่า ที่ยกมาเปรียบเทียบนั่นน่ะ มันคือเหตุที่เกิดขึ้นเฉพาะแห่ง เราระดมกำลังกันไป มันก็เลยดูเหมือนคนเยอะครับ

                แต่พื้นที่อุทกภัยระดับนี้ มันกินพื้นที่กว้างมาก ต่อให้ยกกำลังออกไปเท่าไรก็ยังไม่เพียงพอครับ กระจายกันออกไปเลยดูเหมือนน้อย

                ท้ายที่สุดแล้ว วิกฤติเหล่านี้ ควรจะทำให้คนไทยกลับมารัก และสามัคคีกันมากขึ้น ได้เห็นน้ำใจ หรืออะไรหลายๆ อย่าง

                ไม่ใช่นำเอาการเมืองมาบดบัง จนเราต้องแตกแยกกันมากกว่านี้เลยครับ

                ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน จิตอาสา และผู้ประสบภัยทุกคนครับ

                #saveubon

                #เสิง

                #ทหารหลังกองพัน

                บทตัดพ้อ-รำพึงของ "เสิง-ทหารหลังกองพัน" นี้ บริสุทธิ์ จนผมไม่กล้าแตะต้องให้หมอง

                สังคมนี้คือละคร.........

                พวกเราทุกคน คือตัวแสดง ทุกบท-ทุกตอน แสนจะเร้าใจ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

                ใครเคยอ่าน "ละครแห่งชีวิต" ของ "หม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพีพัฒน์" บ้าง?

                บางทีก็สุขในเศร้า บางทีก็เหงาเจ็บปวด เหมือนกำกุหลาบทั้งหนาม

                แปลบ..เลือดปุดนั้น ยากบอก ใจเศร้าหรือสุข?

                นั่นแหละชีวิต......

                ทั้งจริง ทั้งมายา ในการเมืองจริง การเมืองโจร ร้อยสิ่งที่ปรารถนา แต่ที่มันมาให้พบ คือล้านสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา

                เพราะว่านั่นคือ "บทละครแห่งชีวิต"!

                เหมือนที่ "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" กำลังแสดงอยู่ในบท "เทพผู้บันดาล" ของคนน้ำท่วมที่อุบลฯ ตอนนี้

                บิณฑ์ไปช่วยคนน้ำท่วม เห็นสภาพแล้วสงสาร เอาเงิน ๑ พัน ให้ชาวบ้าน เขากราบแล้วกราบอีก  จนบิณฑ์ประกาศว่า จะเบิกเงินส่วนตัว ๑ ล้านไปแจก ใครจะส่งเงินไปสมทบก็ได้

                ปรากฏว่า แค่วันเดียว คนส่งเงินไปให้ร้อยกว่าล้าน!

                ดูข่าวตอนเย็นวาน เห็นบิณฑ์แจกคนละ ๕,๐๐๐ บาท ชาวบ้านมารอรับกันแน่นขนัด

                บิณฑ์บอก ยังไม่หมด จะแจกในวันต่อๆ ไป!

                ก็สาธุ กับบิณฑ์ด้วย

                แต่ในฐานะคนรักชอบกัน ขอบอกบิณฑ์ว่า อยากแจก ก็แจกไปเถอะ เพราะเป็นเงินของบิณฑ์ และของคนที่เห็นตามแนวทางของบิณฑ์มอบไปให้

                ขอพูดคำเดียว.........

                สิ่งที่บิณฑ์ทำมาตลอด และที่กำลังทำ เป็นสิ่งดี แต่การเอาดีของเราไปทวงถามหรือกระเทียบทับถึงคนอื่นนั้น มันไม่ดี

                อย่างเช่น บิณฑ์ไปช่วยคน บิณฑ์เอาเงินแจก สวยงามในนิยามบิณฑ์อยู่แล้ว ไม่ควรไปกระแทกรัฐบาลว่า...

                ".....หลายครอบครัว อยู่กันแบบหน้าชื่นอกตรม ไม่มีเงินติดตัวเลย รัฐบาลมัวแต่ช็อปปิ้ง ทำอะไร ไม่มาดูพี่น้องอุบลฯ บ้าง" นั้น

                นอกจากไม่ควรพูดแล้ว ยังเป็นการพูดที่ไม่ตรงความเป็นจริงด้วย

                แต่เมื่อบิณฑ์พูด คนที่รักและเชื่อถือในตัวบิณฑ์ ก็จะพลอยเข้าใจตาม

                และจะมีขบวนการฉกฉวยคำพูดนั้น ไปเสี้ยมเป็นหอกทิ่มรัฐบาลต่อ

                บิณฑ์อาจไม่ตั้งใจพูด ผมเชื่อเช่นนั้น แต่ต่อจากนี้ จะต้องมีไมค์จ่อปากบิณฑ์ตลอด

                จึงอยากบอกว่า บิณฑ์อยากพูดแบบไหนก็พูดไปเถอะ แต่บิณฑ์ควรตรองก่อน

                ต้องเข้าใจนะว่า เมื่อน้ำท่วม โจทย์ที่ต้องแก้อันดับแรก คือ ความปลอดภัยในชีวิต-ทรัพย์สินชาวบ้าน และเรื่องที่กิน-ที่อยู่ ของชาวบ้าน

                มันคนละส่วนกับ "ความยาก-ความจน" ของชาวบ้าน

                ดังนั้น สิ่งแรกที่ภาครัฐ ภาคเอกชน ตำรวจ-ทหารต้องทำเฉพาะหน้า คือช่วยให้ชาวบ้านรอดจากภัยน้ำท่วมก่อน

                ไม่ใช่ช่วยให้รวย ให้หายจน!

                เรื่องสร้าง เรื่องซ่อม เรื่องรวย เรื่องจน เป็นความสำคัญอันดับต่อไป ไว้น้ำลดแล้ว ค่อยว่ากันไปตามลำดับ

                ถ้าจะให้รัฐหรือใครแจกเงิน แทนแจกข้าวปลาอาหาร ถามว่า เมื่อทุกที่น้ำท่วมหมด แจกเงินไป จะเอาไปซื้อของที่ไหน?

                บิณฑ์บอกว่าชาวบ้านไม่มีเงิน ชาวบ้านอยากได้เงิน ถูก ๑๐๐% ถ้าถามผม ผมก็ตอบแบบนี้

                แต่อยากให้แง่คิดไว้นิด.......

                เงินเป็นทั้งน้ำหวาน เงินเป็นทั้งอสรพิษ อย่าฝึกให้คนทึกทักว่า การประสบภัย "เป็นอาชีพ" สร้างรายได้อย่างหนึ่ง

                เพราะนั่น บุญวันนี้ อานิสงส์จะเป็น "บาปสังคม" ในวันหน้า!

                และบิณฑ์ต้องระวังนะ คนเดือดร้อนจากน้ำท่วมไม่ได้มีจังหวัดเดียว

                เฉพาะที่อุบลฯ ก็ไม่ใช่แค่ตำบล-อำเภอเดียว ที่บิณฑ์ไปเห็นความทุกข์ยากและนำเงินไปแจก

                เมื่อทราบว่า มีคนร่วมบริจาคเป็นร้อยล้าน คนน้ำท่วมอีกเป็นแสนๆ เขาปรารถนามีส่วนร่วมรับ ๕,๐๐๐ บาท นั้นบ้าง

                บิณฑ์จะบริหารปัญหานี้อย่างไร?

                สรุปว่า ผมอนุโมทนาในจิตใจงดงามของบิณฑ์ แต่ห่วงว่าเงินร้อยล้าน กับปัญหาที่จะตามมา จะเป็นปัญหาใจทำให้บิณฑ์เกิดศรัทธาหมอง

                และลามเป็นปัญหาส่วนรวมด้วย! 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"