ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก ล่าสุดรัฐบาลภายใต้การนำของ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ยังต้องมาเจอประเด็นใหม่ หลังฝ่ายค้านลุยขุดคุ้ยประวัติสีเทาของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ชนิดว่าไม่น่าจะจบง่ายๆ
ทั้งที่สถานการณ์น่าจะเบาบางลงได้ หลังประเด็นร้อนๆ ที่คอยฉุดขารัฐบาลไม่ให้ก้าวขาไปข้างหน้าได้เต็มที่ ร่วมๆ จะ 2 เดือน กรณีฝ่ายค้านข้องใจ ปม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ ส่อว่าจะขัดรัฐธรรมนูญ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
หลังจากเมื่อวันที่ 11 กันยายน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งคำร้องของนายภาณุพงศ์ ชูรักษ์ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
โดยสรุป เหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง “…การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์เป็นการกระทำทางการเมือง (Political Issue) ของคณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหารในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์ อันอยู่ในความหมายของการกระทำของรัฐบาล (Act of Government) ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.61 มาตรา 47 (1)…”
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ทำให้ “บิ๊กตู่” เบาใจไปได้ว่า ฝ่ายค้านจะไม่สามารถหยิบประเด็นนี้มาเล่นงานได้ในอนาคตคือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่า “การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ดังกล่าวจึงไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด”
นั่นหมายความว่า ไม่สามารถนำเรื่องดังกล่าวนี้ไปร้องต่อองค์กรอิสระอื่นๆ ได้อีก
และแม้ฝ่ายค้านยังยืนยันที่จะเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ในประเด็นเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณโดยตีความว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องคือ การเปิดทางให้สภาฯ ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า “คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมายิ่งแสดงให้เห็นถึงความชอบธรรมของสภาฯ ที่จำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ในการอภิปราย เพราะเหตุผลที่ศาลหยิบยกขึ้นมาใช้ คือมองว่าประเด็นการถวายสัตย์ฯ นั้นเป็นเรื่องการกระทำของรัฐบาล องค์กรตุลาการจะไม่เข้าไปตรวจสอบ”
แต่ก็ต้องถือว่า “บิ๊กตู่” และรัฐบาลจะชี้แจงต่อสภาฯ ได้ง่ายกว่าก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติไม่รับคำร้อง โดยอาศัยเหตุผลของศาล ซึ่งถือว่าค่อนข้างมีน้ำหนัก
การอภิปรายวันที่ 18 กันยายน จึงเหลือแค่การเป็นเกมการเมืองระหว่างฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น พลันที่ปิดประชุม ทุกอย่างจะซาลงไปเอง เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นที่สุดแล้ว
ยกเว้นฝ่ายรัฐบาล หรือตัว “บิ๊กตู่” จะชี้แจงหลุดกรอบที่เตรียมไว้ จนเกิดประเด็นใหม่ หรือมีฝ่ายค้านถูกดำเนินคดี เพราะไปละเมิดอำนาจศาล กรณีอภิปรายเข้าข่ายวิพากษ์วิจารณ์เกินขอบเขต ประเด็นเรื่องถวายสัตย์ปฏิญาณจึงน่าจะจบไปถาวร
แต่ปัญหาใหม่ที่สร้างความปวดหัว และดูท่าน่าจะผ่านไปได้ยากคือ คุณสมบัติของ ร.อ.ธรรมนัส “มือประสานสิบทิศ” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
ร.อ.ธรรมนัสถูกสื่อออสเตรเลียเปิดเผยข้อมูลว่า เคยถูกจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ซึ่งย้อนแย้งกับคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าตัวก่อนหน้านี้ที่เคยระบุว่า เพียง 8 เดือน
และดูเหมือนเรื่องนี้จะบางเบาลงได้ ภายหลัง ร.อ.ธรรมนัสตอบกระทู้ถามสดในที่ประชุมสภาฯ โดยยืนยันว่า ไม่เคยสารภาพขนยา ค้ายา หรือนำเข้ายาเสพติด และไม่ได้ติดคุก 4 ปี เพราะได้เข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า plea-bargain
ทว่า วันรุ่งขึ้น ร.อ.ธรรมนัสต้องเจอประเด็นใหม่ที่ปวดหัวอีกครั้ง หลังบางเพจออกมาเปิดโปงว่า วุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกของเขาเป็น “ของปลอม”
โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า มหาวิทยาลัยที่ ร.อ.ธรรมนัสจบปริญญาเอกนั้น อยู่ในบัญชีรายชื่อสถาบันสำหรับการศึกษาขั้นสูงที่ไม่ได้รับการรับรองวุฒิการศึกษาในหลายประเทศ
ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ ร.อ.ธรรมนัสต้องหอบหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์แบบรวดเร็วฉับไว หากแต่เหมือนจะยิ่งทำให้การตรวจสอบโดยภาคสังคมยิ่งเข้มข้น
สภาวะของสังคมตอนนี้คือ คลางแคลงสงสัยในตัว ร.อ.ธรรมนัสหลายๆ เรื่อง
และแม้บุคคลสำคัญในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร เรื่อยไปถึงมือกฎหมายคนสำคัญอย่างนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะพยายามออกมาการันตีให้ว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำรงตำแหน่ง
โดยเฉพาะเจ้าของฉายา “เนติบริกร” หาช่องลงให้ โดยหยิบยกมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดคุณสมบัติรัฐมนตรีเอาไว้ว่า ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร.อ.ธรรมนัสจบจากโรงเรียนนายร้อย ซึ่งเทียบเท่าระดับปริญญาตรี
“เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดให้จบการศึกษาปริญญาตรีก็ตรวจสอบแค่นั้น เขาไม่อยากรู้ว่าจบปริญญาโท ปริญญาเอกที่ไหน รู้แค่จบปริญญาตรีก็พอแล้ว” นายวิษณุให้ความเห็น
ซึ่งหากวัดตามรัฐธรรมนูญ สิ่งที่นายวิษณุหยิบยกมาถือว่าไม่ผิด แต่ประเด็นสำคัญที่สังคมให้ความสนใจคือ แม้ปริญญาเอกจะไม่มีผลต่อคุณสมบัติรัฐมนตรีของ ร.อ.ธรรมนัส แต่หากพิสูจน์ได้ว่า เป็นการยื่น “วุฒิการศึกษาปลอม” ถือว่าขัดมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ เพราะถือว่าทุจริต
ประเมินแล้วว่า ร.อ.ธรรมนัส และรัฐบาลเหนื่อยหนักถ้าต้องผ่านเรื่องนี้ เพราะสิ่งเดียวที่หยุดได้นั่นคือ หลักฐาน ที่จะนำมาหักล้าง
หาก ร.อ.ธรรมนัสพิสูจน์ได้ว่า ตนเองถูกดิสเครดิตด้วยการนำหลักฐานมาชี้แจง ก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัว เพราะสังคมจะเห็นว่าจุดประสงค์ของฝ่ายที่จ้องตรวจสอบเขาต้องการอะไร
แต่ถ้ายังคลุมเครือและไม่ชัดเจน ประเด็นร้อนจะตกไปที่ “บิ๊กตู่” คนที่แต่งตั้งเขากับมือด้วย
การอธิบายว่า ฝ่ายค้านต้องการทำลายตัวเองในฐานะ เส้นเลือดใหญ่ นั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใด เรื่องนี้มันสำคัญที่ว่า สิ่งที่ถูกนำมาเปิดเผยเป็นเรื่องจริงหรือไม่
และการที่ “บิ๊กตู่” อ้างว่า รัฐบาลที่ผ่านๆ มาก็เคยมีเรื่องแบบนี้ อาจจะยิ่งทำให้แย่ เพราะอาจถูกครหาได้ว่ารัฐบาลกำลังเดินตามในบรรทัดฐานที่ผิดๆ
การดับปมร้อนนี้ที่เริ่มจะลุกลามให้เร็วที่สุด เพื่อให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไปได้อย่างเต็มกำลังเสียที หลังติดหล่มเรื่องปมถวายสัตย์ปฏิญาณมา 2-3 เดือน คือการเคลียร์ตัวเองโดยมีประจักษ์พยานและหลักฐาน มากกว่าที่จะตีฆ้องร้องป่าวว่าเป็นเกมการเมืองของฝ่ายตรงข้าม
ถ้าปล่อยให้คลุมเครือ โดยหวังว่าเรื่องจะเงียบและซาไปเหมือนกับหลายๆ ครั้ง มันอาจไม่ง่าย ตรงกันข้ามอาจจะยิ่งยากหากมีการขุดคุ้ยอดีตของ ร.อ.ธรรมนัส หรือใครในรัฐบาลออกมาอีก
การอาศัยช่องกฎหมายเพื่อ ฟอก อาจช่วยได้ในบางครั้ง แต่หากทำบ่อยๆ ความเสื่อม นั้นจะตกอยู่ในภาพรวมของรัฐบาล
เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องรีบแก้โดยเร็ว ก่อนที่เจอปัญหาใหม่เข้ามา ซึ่งมันอาจทำให้ไม่เป็นอันทำงานทำการ!!.
ทีมข่าวการเมือง
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |