"บิ๊กตู่" เยี่ยมโครงการแก้อุทกภัยเมืองคอน อ้อน "รักจังฮู้" ยันไม่ได้หาเสียงแต่มาแก้ปัญหาให้ประชาชน รับห่วงอุบลฯ น้ำท่วมหนัก สั่งทุกหน่วยเร่งช่วย "เฉลิมชัย" มอบอธิบดีกรมชลฯ บัญชาการ ขีดเส้นสิ้นเดือนต้องคลี่คลาย สทนช.ระดม 160 เครื่องสูบน้ำระบายลงโขง เริ่มทรงตัวสูงกว่าระดับตลิ่ง 3.97 เมตร
ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง เมื่อวันที่ 13 กันยายน เวลา 07.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พร้อมคณะ ประกอบด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา, นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม, ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน, นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ออกเดินทางไปยังท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช เพื่อตรวจติดตามบริเวณพื้นที่ก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองท่าเรือ-หัวตรุด กิโลเมตรที่ 9+200 ตำบลท่าเรือ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช ในโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ต่อมาเวลา 09.50 น. นายกฯ และคณะ เดินทางด้วยรถโตโยต้าเวลไฟร์ สีขาว ทะเบียน 7 กฬ 1333 กรุงเทพมหานคร ตรวจเยี่ยมพื้นที่ก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองท่าเรือ-หัวตรุด กิโลเมตรที่ 9+200 โดยได้รับฟังรายงานความก้าวหน้าของโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำ และรับทราบรายงานการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล การก่อสร้าง พร้อมกล่าวว่า ขอให้ช่วยกันทำความเข้าใจกับประชาชนที่ยังไม่ให้ความร่วมมืออีก 58 ครัวเรือน ว่าถ้าโครงการนี้สำเร็จ จะแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ถึงร้อยละ 80 หากรัฐบาลทำความเข้าใจฝ่ายเดียวประชาชนจะไม่เข้าใจ จึงอยากให้ชาวบ้านช่วยกันบอกถึงผลดีคืออะไร
สำหรับโครงการนี้เริ่มดำเนินการได้เมื่อปี 2559 ซึ่งเป็นโครงการของรัชกาลที่ 9 โดยรัฐบาลมีความตั้งใจนำทุกโครงการมาดำเนินการสานต่อทั้งหมดตามพระราชประสงค์ของในหลวงรัชกาลที่ 10 จึงขอให้ประชาชนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทำให้ประเทศไทยมีการพัฒนาและคงอยู่ มีความปรองดอง ส่วนประชาธิปไตยก็ต้องเดินควบคู่กันไป ต้องลดความขัดแย้ง ลดการต่อรองลง ยืนยันรัฐบาลทำอย่างเต็มที่ และพร้อมทำงานให้ได้มากที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ตนดีใจที่ได้พบกับประชาชน และรู้สึกเป็นห่วงภาคใต้
นายกฯ ยังกล่าวแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์น้ำที่จังหวัดอุบลราชธานี และพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งมีอีกหลายพื้นที่ว่า เมื่อคืนเอาใจช่วย เพราะมีฝนตกมาจำนวนมาก แต่ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันบูรณาการ แก้ไขปัญหาให้ความช่วยเหลือ ซึ่งเรียกว่ายุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ 20 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างเดินพบปะพูดคุยกับประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ได้ซักถามผู้ที่มาต้อนรับว่ามาจากพื้นที่ใดบ้าง พร้อมกล่าวว่า ทุกคนมีหน้าที่ต่อประเทศชาติและแผ่นดินนี้ ก่อนจะหันไปถามความเห็นชาวบ้านว่า “เห็นนายกฯ คนนี้แล้วเป็นอย่างไร ใช้ได้ไหม ส่วนเรื่องหล่อเอาไว้ก่อน ถามว่าทำงานใช้ได้หรือไม่ดีกว่า และพวกเราเดือดร้อนอะไรมากหรือไม่ที่ผมเป็นนายกฯ ไม่เดือดร้อนใช่ไหม รายได้ก็ยังดีอยู่ แต่ก็ยังมีปัญหา มีบางคนที่ยังออกมาพูดไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอีอีซี หรือเรื่องของรายได้ ก็ว่ากันไป อะไรที่ถูกกฎหมายก็ทำ อย่างเช่นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถ้าเรามีรายได้เข้ามาก็จะมีไปเพิ่มในส่วนดังกล่าว แต่ไม่ใช่เป็นสัญญาให้เปล่า และบ้านเมืองจะดีได้ต้องมีการพัฒนาและมีเสถียรภาพในทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจก็จะแย่ทั้งหมด ทุกอย่างก็จะไปไม่ได้ รัฐบาลจะดูแลทุกภาคส่วน แต่ก็ขอให้เห็นใจรัฐบาลด้วย เพราะต้องทำงานทุกด้านไม่ใช่ทำอะไรไม่ดีก็มาว่ามาด่ารัฐบาลอย่างเดียว”
บิ๊กตู่อ้อนคนคอน"รักจังฮู้"
จากนั้น เวลา 10.40 น. ที่โรงเรียนสาธิตองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 พล.อ.ประยุทธ์พร้อมคณะ พบปะประชาชนและมอบอุปกรณ์ส่งเสริมอาชีพให้แก่ผู้สูงอายุและมอบอุปกรณ์การเรียนให้แก่ผู้แทนนักเรียน โดยนายกฯ กล่าวว่า "คนนครศรีธรรมราชเป็นคนพูดเร็ว แต่ผมฟังเข้าใจ อย่างเช่นคำว่า อร่อย ก็บอกว่า หรอยจังฮู้ ผมมาก็ต้องบอกว่ารักจังฮู้”
ทั้งนี้ การลงพื้นที่วันนี้ ไม่ได้มาหาเสียง แต่มาขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคน ถ้าอยากให้รัฐบาลทำให้ต้องร่วมมือ ต้องรักรัฐมนตรี และรักข้าราชการของตน ถ้าใครไม่ดีให้แจ้งมา จะจัดการให้ โดยเฉพาะเรื่องการทุจริต และมาครั้งนี้ก็มาเพื่อติดตามความคืบหน้าการเตรียมการแก้ปัญหาอุทกภัย และติดตามการแก้ปัญหาอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย แต่ทั้งนี้ การแก้ปัญหาจำเป็นต้องใช้เวลา และต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ จึงจะประสบผลสำเร็จ ยอมรับว่าขณะนี้มีคลื่นลม แต่เดี๋ยวคลื่นลมก็สงบลงแล้ว แต่จะสงบลงได้นั้นไม่ใช่นายกฯเพียงผู้เดียวทุกคนจะต้องช่วยกันด้วย และยืนยันจะไม่ปล่อยให้มีการทุจริตเกิดขึ้น
ต่อมาเวลา 11.45 น. พล.อ.ประยุทธ์พร้อมคณะ สักการะพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อเป็นสิริมงคล โดยนายกฯ ได้กราบนมัสการและถวายเครื่องจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระครูโสภณเจติยานุรักษ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุฯ รวมทั้งได้ทำพิธีห่มผ้าองค์พระธาตุเพื่อเป็นสิริมงคล โดยนายกฯ ได้ขอให้ทางวัดนำต้นโพธิ์ทั้งสามต้นที่ขึ้นอยู่บนยอดองศ์พระบรมธาตุเจดีย์ไปปลูกให้เจริญงอกงาม ให้ประชาชนทั่วไปได้สักการะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการมากราบพระมหาธาตุฯ ครั้งนี้ มีประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลนำพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ขึ้นเป็นมรดกโลก ซึ่ง รมว.วัฒนธรรมได้รับปากว่าในปีหน้าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาเพื่อผลักดันอย่างเต็มที่
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดอุบลราชธานีว่า ปริมาณน้ำที่มีอยู่เดิมยังระบายไม่หมด และมีปริมาณฝนตกลงมามาก อีกทั้งสถานการณ์น้ำฝั่งอำเภอวารินชำราบต่ำไป ทำให้มีน้ำท่วมค่อนข้างมากในส่วนของฝั่งอำเภอเมือง แม้จะมีการเตรียมการมาโดยตลอด แต่เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น.ที่ผ่านมา มีปริมาณฝนตกลงมาอีก 80 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าหนักมาก ยอมรับว่าฝั่งอำเภอเมืองได้รับผลกระทบมาก ส่วนการดำเนินการในการระบายน้ำ ได้มีการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ ทั้งที่อำเภอพิบูลมังสาหารและโขงเจียม ประมาณ 60 เครื่อง ผลักดันน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด เพื่อลดมวลน้ำ หากฝนไม่ตกลงมาเพิ่มอีกตั้งแต่บ่ายนี้เป็นต้นไป สถานการณ์น่าจะดีขึ้น ทั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง
ขณะที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ห่วงใยสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งครั้งนี้ระดับน้ำสูงกว่าปี 2545 นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน รายงานผลการคาดการณ์ว่าระดับน้ำจะสูงสุดช่วงบ่าย ทำให้น้ำที่ท่วมฝั่งอำเภอวารินทรชำราบขยายวงกว้างขึ้น ส่วนฝั่งเทศบาลนครอุบลราชธานีแม้ตลิ่งสูง แต่ต้องเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้น้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ จึงสั่งการให้อธิบดีกรมชลประทานไปบัญชาการที่ศูนย์บรรเทาและแก้ปัญหาอุทกภัยส่วนหน้าที่อุบลราชธานี พร้อมกับระดมเครื่องจักร-เครื่องมือ และกำลังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการผลักดันน้ำออกแม่น้ำโขงให้เร็วที่สุด โดยย้ำว่าให้เร่งระบายน้ำจนสถานการณ์คลี่คลายก่อนสิ้นเดือนนี้ เพื่อลดความเดือดร้อนประชาชน
ระดม 160 เครื่องสูบน้ำลงโขง
ที่ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังประชุมหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หน่วยทหาร และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จากนั้นได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินสำรวจน้ำท่วมในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี บริเวณแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขง พร้อมเปิดเผยว่า ได้มีการหารือถึงแผนเร่งด่วนในการเร่งระบายน้ำเพื่อลดผลกระทบ และป้องกันปริมาณน้ำก่อนส่งผลกระทบกับตัวเมืองอุบลราชธานี โดยจากการหารือหน่วยงานเกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการในการเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำมูลด้านท้ายลงสู่โขง ซึ่งจะทำให้น้ำในเมืองอุบลฯ ระบายได้เร็วขึ้น
โดยขณะนี้กรมชลประทานได้ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำแล้ว ทั้งหมด 160 เครื่อง แยกเป็นที่ อ.พิบูลมังสาหาร 100 เครื่อง และที่ อ.โขงเจียม 60 เครื่อง พร้อมวางแผนการจัดจราจรน้ำ โดยลดการระบายน้ำจากแม่น้ำมูลที่เหนือ จ.อุบลราชธานี ที่เขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนา จ.ศรีสะเกษ เพื่อหน่วงน้ำในแม่น้ำมูลให้เข้าตัวเมืองอุบลฯ ให้น้อยลงและช้าลง รวมถึงจัดจราจรน้ำที่แม่น้ำชีโดยปิดการระบายน้ำที่เขื่อนในแม่น้ำชีตอนบน ได้แก่ เขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ และหน่วงน้ำในแม่น้ำชี โดยลดบานระบายที่เขื่อนระบายน้ำในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ
ปัจจุบันผลกระทบจากน้ำท่วมได้ลดลงแล้ว เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำแม่น้ำชีตอนบนไม่ให้ไหลมาสมทบกับแม่น้ำชีตอนล่าง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำหลากที่จะลงสู่แม่น้ำมูลที่ จ.อุบลราชธานีได้ ขณะเดียวกัน ยังหารือถึงแผนระยะยาวร่วมกับทางจังหวัด ซึ่งต้องหาทางผันน้ำหรือเบี่ยงน้ำในต้นน้ำที่แม่น้ำชีบริเวณ จ.ยโสธร ซึ่งอยู่ในโครงการศึกษาของ สทนช. ในปี 2563 แล้ว ขณะเดียวกัน สทนช.จะนำผลการศึกษาในการเบี่ยงน้ำในแม่น้ำมูลที่แก่งสะพือ ลงสู่ด้านท้ายแก่งที่มีการศึกษาไว้แล้วโดยมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีมาปรับปรุงผลการศึกษาและขับเคลื่อนโครงการให้เกิดผลโดยเร็วด้วย
สำหรับสถานการณ์น้ำ จ.อุบลราชธานี เมื่อเวลา 12.00 น. พบว่าระดับน้ำที่ลำน้ำมูล ที่สถานี M7 จ.อุบลราชธานี สูงกว่าตลิ่งฝั่ง อ.วารินชำราบ 3.97 เมตร ปริมาณน้ำไหลผ่าน 5,265 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำเพิ่มขึ้นในอัตรา 1 เซนติเมตร ภายใน 6 ชั่วโมง หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมามีฝนตกประมาณ 75 มิลลิเมตร ส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้น 6 เซนติเมตร ส่วนระดับน้ำโขงที่ อ.โขงเจียม ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่ง 0.99 เมตร แนวโน้มทรงตัวจากเมื่อเช้านี้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าระดับน้ำแม่น้ำมูลที่ อ. เมืองอุบลฯ จะเริ่มทรงตัวในวันที่ 14 ก.ย. หากฝนไม่ตกเพิ่ม และคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 25 วัน ระดับน้ำจะลดลงถึงระดับตลิ่ง
ต่อมาเวลา 15.00 น. นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า แม้ขณะนี้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่กรมชลประทานคาดการณ์ว่าปริมาตรน้ำสูงสุดในแม่น้ำมูลจะไหลมาถึง อ.เมืองอุบลราชธานี ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 13.00-15.00 น. ปริมาตรน้ำยังทรงตัวอยู่ที่ 5,265 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำที่สถานีวัดน้ำ M 7 จากที่คาดการณ์ว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะสูงกว่าตลิ่ง 4 เมตร แต่ขณะนี้สูงกว่าตลิ่ง 3.97 เมตร หรือจากท้องน้ำ 10.97 เมตร ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 3 เซนติเมตร แต่ต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำต่อไปอีก 2-3 ชั่วโมง หากปริมาตรน้ำทรงตัวและมีแนวโน้มลดลงแสดงว่า ปริมาตรน้ำสูงสุดของลำน้ำมูลผ่านพ้นเขตเทศบาลนครอุบลราชธานีไปแล้ว ส่วนที่ท้ายแก่งสะพือ อำเภอพิบูลมังสาหาร ซึ่งอยู่ด้านใต้ของอำเภอเมืองระดับน้ำลดลงจากเวลา 06.00 น. 1 เซนติเมตร.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |