นายกฯ สั่งดีเอสไอสางคดี "บิลลี่" อย่างเป็นธรรม ยันคนผิดต้องโดนลงโทษ ป.ป.ท.มีมติโอนสำนวนคดีชัยวัฒน์ให้ ป.ป.ช.ส่งต่อ DSI ขีดเส้น 3 เดือนสรุปคดีเผาบ้านปู่คออี้ ภาค 7 เด้ง "ดาบเท่ง" เซ่นข่มขู่พยาน
เมื่อวันที่ 10 กันยายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งสอบสวนคดีการเสียชีวิตของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย จ.เพชรบุรี และนำผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี พร้อมชดเชยผู้เสียหายและครอบครัว รวมทั้งออกกฎหมายตามหลักสากลและลงสัตยาบันในอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องอันเนื่องมาจากคดีของบิลลี่ว่า ในฐานะที่กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ได้กำชับไปแล้วว่าให้ตรวจสอบให้เกิดความยุติธรรม เที่ยงธรรม ต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมายจะต้องถูกลงโทษ ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทุกประการ
“ผมไม่เข้าข้างใครอยู่แล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน ให้ดีเอสไอดำเนินการให้เต็มที่ ในส่วนของต่างประเทศที่เรียกร้องนั้น เราก็รับฟังมา ทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายไทยทุกประการ ซึ่งการไปเร่งรัดให้ทำเร็วๆ นั้น บางทีก็เป็นการกดดันเจ้าหน้าที่มากเกินไป อาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ก็ขอให้เวลาเจ้าหน้าที่ดำเนินการ และทราบว่าวันที่ 12 ก.ย.นี้จะมีการเยียวยาก่อน ส่วนเรื่องการต่อสู้ต่างๆ ก็จะมีกองทุนยุติธรรมที่ดูแลอยู่” นายกฯ ระบุ
ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า ภายหลังการประชุมแบ่งชุดทำงาน แต่ละชุดปฏิบัติการได้แยกกันลงพื้นที่รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม รวมทั้งสอบปากคำพยานบางปากให้สำนวนคดีมีความรอบคอบและรัดกุม โดยชุดสอบสวนขอเวลา 1 สัปดาห์เพื่อเก็บข้อมูลและสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องในคดี ส่วนสำนวนเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับควบคุมตัวนายบิลลี่โดยมิชอบนั้น กำลังรอสำนวนจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คาดว่าคงใช้เวลาอีกไม่นาน
เมื่อถามถึงนายบุญแทน บุษราคัม เจ้าหน้าที่อุทยานฯ หนึ่งในชุดจับกุมนายบิลลี่ได้หายตัวไปนั้น อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า ทราบแต่เพียงว่านายบุญแทนขาดราชการไปหลายวันแล้ว ทั้งนี้ ดีเอสไอยังไม่ได้สอบปากคำหรือนำตัวนายบุญแทนมาเป็นพยานในคดีแต่อย่างใด
พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนลงพื้นที่เพื่อสอบปากคำ พ.ต.อ.ไตรวิช น้ำทองไทย อดีตรองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 (ผบก.สส.ภ.7) หัวหน้าทีมสืบสวนคดีการหายตัวไปของนายบิลลี่ ซึ่งมีข้อมูลว่านายบิลลี่ไม่ได้เคยถูกปล่อยตัว ตามคำเห็นที่ส่งสำนวนไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) จำเป็นต้องสอบปากคำเพื่อประกอบสำนวนคดี นอกจากนี้พนักงานสอบสวนยังได้ลงพื้นสอบปากคำพยานปากอื่นๆ ด้วย
ที่สำนักงาน ป.ท.ท. พ.ต.ท.วันนพ สมจินตนากุล เลขาธิการ ป.ป.ท. และ พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวก ร่วมกันแถลงข่าวว่า กรรมการ ป.ป.ท.ได้ประชุมและมีมติให้ส่งสำนวนการไต่สวนกรณีนายชัยวัฒน์กับพวก กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ไม่เปรียบเทียบปรับ และไม่นำตัวบิลลี่ ซึ่งกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พร้อมของกลางน้ำผึ้งป่า ให้ตำรวจ สภ.แก่งกระจานดำเนินคดี ไปให้ ป.ป.ช.เพื่อส่งต่อให้ดีเอสไอสอบสวน ทั้งคดีฆาตกรรมและความผิดอาญาที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันทั้งหมด
พ.ต.ท.สิริพงษ์กล่าวว่า การไต่สวนของ ป.ป.ท.ไม่ได้มีความล่าช้า มีการลงพื้นที่สอบพยานกว่า 30 ปาก รวมถึงการตรวจสอบพยานหลักฐานอื่นๆ ร่วมกับตำรวจภูธรภาค 7 สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และดีเอสไอ ทั้งนี้ เมื่อทุกสำนวนถูกส่งไปรวมที่ดีเอสไอ จะทำให้ดีเอสไอมีอำนาจเต็มในการสอบสวนทั้งคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และคดีฆาตกรรม โดยคดี ป.ป.ท.ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
พ.ต.ท.วันนพยังกล่าวถึงความคืบหน้าคดีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเผาบ้านปู่คออี้ มีมิ ผู้นำจิตวิญญาณชาวกะเหรี่ยง และเป็นปู่ของนายบิลลี่ ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในปี 54 และมีการยื่นเรื่องขอให้ ป.ป.ท.ตรวจสอบในปี 58 ล่าสุดบอร์ด ป.ป.ท.มีความเห็นว่ากรณีดังกล่าวควรเร่งรัดการไต่สวนให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว จึงมีคำสั่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนเพิ่มเติม พร้อมกำหนดกรอบการทำงานให้แล้วเสร็จภายในเวลา 3 เดือน
ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีนายชัยวัฒน์ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุบลราชธานี กรณีมีผู้อ้างว่าตำรวจสังกัดตำรวจภูธรภาค 7 ข่มขู่นายบุญแทน บุษราคัม อดีตเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แก่งกระจาน ซึ่งเป็นอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของนายชัยวัฒน์ เพื่อให้การปรักปรำนายชัยวัฒน์ว่าเป็นตัวการฆ่านายบิลลี่นั้นว่า ได้รับรายงานว่า พล.ต.ท.ธนา ชูวงษ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (ผบช.ภ.7) ได้มีคำสั่งให้ บก.สส.ภ.7 ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ และรับฟังเป็นข้อยุติได้ว่า ด.ต.พงศ์ษาวดี หรือเท่ง ไทยกูล ผบ.หมู่ กก.สส.1 บก.สส.ภ.7 ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว ได้ให้การยอมรับว่าเป็นผู้ที่โทรศัพท์พูดคุยกับนางรัตน์ดาวรรณ หรืออร บุษราคัม ภรรยาของนายบุญแทน
โดยคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า การกระทำของ ด.ต.พงศ์ษาวดี มีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง ซึ่งผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดของ ด.ต.พงศ์ษาวดี ได้มีคำสั่งตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการทางวินัย พร้อมกับมีคำสั่งให้ ด.ต.พงศ์ษาวดีไปปฏิบัติราชการยังศูนย์ปฏิบัติการ บก.สส.ภ.7.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |