"สมคิด" ลั่นไม่ใช่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล แจงคุมแค่ 4 กระทรวง ยัน ศก.ไทยยังแกร่ง วอนทุกคนลุกขึ้นสู้ไม่ใช่ถามหาแต่มาตรการกระตุ้น "กอบศักดิ์" รับรัฐบาล 3 ขั้วเป็นเหตุผุด ครม.เศรษฐกิจ หวังคุมนโยบายไม่ให้แตกแถว "อุตตม" น้อมรับผลโพลให้รัฐบาลสอบตกแก้ปัญหา ศก. อ้างต้องใช้เวลาแก้ไข รอลุ้นชง ครม.ยืดอายุมาตรการรีแวต 7% ต่อหลังจะสิ้นสุด 30 ก.ย.นี้
เมื่อวันจันทร์ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนไม่ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีที่คุมด้านเศรษฐกิจแล้ว เป็นรองนายกฯ ที่คุมกระทรวงเศรษฐกิจเพียง 4 กระทรวงเท่านั้น ยืนยันว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแรง ดังนั้นทุกคนต้องมีความเชื่อมั่น เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว สิงคโปร์ก็มีปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวเหมือนไทย มีความยากลำบากในการแก้ไขปัญหา แต่สิงคโปร์ก็ไม่ตกใจและไม่จำเป็นต้องมีมาตรการอะไรออกมา ในส่วนของไทยไม่ใช่ว่าเมื่อมีปัญหาอะไรก็ต้องให้มีมาตรการกระตุ้นออกมาอยู่เสมอไป ทุกคนต้องรู้จักลุกขึ้นมาสู้ช่วยตัวเองบ้าง เศรษฐกิจไทยไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมด
นายสมคิดกล่าวว่า ในช่วงสิ้นเดือน ก.ย.นี้ได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), สภาเกษตรกรแห่งชาติ, กองทุนหมู่บ้าน (กทบ.) เร่งพิจารณามาตรการขับเคลื่อนภาคเกษตร โดยให้กระทรวงการคลังทำหน้าที่ประสานงานทั้งหมด เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าภาคเกษตรได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาสินค้าตกต่ำ รวมถึงยังไม่มีเทคโนโลยีในการผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้าที่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องเข้าไปดูแลในส่วนนี้เพื่อต่อยอดรายได้ของเกษตรกร
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กล่าวว่า ครั้งนี้รัฐบาลไม่มีอำนาจควบคุมนโยบายและกระทรวงด้านเศรษฐกิจทั้งหมด เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากพรรคร่วม ซึ่งแต่ละพรรคก็มีรองนายกรัฐมนตรีเพื่อดูแลกระทรวงเศรษฐกิจของตัวเอง เพราะเลือกตั้งได้ออกมาแบบนี้จะให้ทำอย่างไร ทำให้การดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจไม่มีเอกภาพ จึงเป็นเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจขึ้นมา โดยมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธาน เพื่อรวมศูนย์อำนาจในการดูแลด้านเศรษฐกิจ เป็นการหารือร่วมกัน จึงไม่มีรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจเหมือนที่ผ่านมา
"ต้องเห็นใจนายสมคิด เพราะไม่ได้เป็นรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจแล้ว เพราะการที่รัฐบาลมีพรรคร่วม แบ่งอำนาจออกเป็น 3 ส่วน ก็ต้องมาคิดดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อประสานให้ทุกส่วนเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารเศรษฐกิจ จึงมี ครม.เศรษฐกิจขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาตรงนี้" นายกอบศักดิ์กล่าว
นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ต่อไปนี้ให้มีการประชุม ครม.เศรษฐกิจทุกสัปดาห์ โดยในสัปดาห์นี้จะมีการประชุมในวันที่ 12 ก.ย. จากเดิมจะต้องประชุมวันที่ 13 ก.ย. เนื่องจากนายกฯ ติดภารกิจ ซึ่งคาดว่าในการประชุมครั้งนี้จะมีการเสนอให้ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจพิจารณามาตรการกระตุ้นการส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์จะเสนอ รวมถึงมาตรการกระตุ้นด้านการท่องเที่ยว และอาจมีการเสนอมาตรการกระตุ้นการลงทุนเพิ่มเติม
นายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง กล่าวถึงกรณีที่นิด้าโพลและสวนดุสิตโพลระบุว่า ประชาชนมีความเห็นว่ารัฐบาลสอบตกเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ว่าเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข โดยรัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหารประเทศได้เดือนกว่า ได้ทำงานอย่างเต็มที่ แต่ผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่มีปัญหาอย่างที่ทุกคนเห็น จึงได้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา ซึ่งหากไม่เพียงพอรัฐบาลก็พร้อมที่จะออกมาตรการเพิ่มเติม โดยขณะนี้มาตรการต่างๆ ได้เริ่มทยอยออกมาแล้ว อย่างไรก็ตามนายอุตตมปฏิเสธที่จะตอบคำถามที่ว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ถึง 3% หรือไม่
"เศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่อย่างที่โพลออกมา แต่ก็พร้อมรับฟังทุกฝ่ายที่ให้ข้อมูล รัฐบาลได้เริ่มดำเนินการดูแลเศรษฐกิจในประเทศให้เกิดความต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าหากทำได้ตามที่คาดการณ์ไว้จะทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้" นายอุตตมกล่าว
ทั้งนี้ รมว.การคลังได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานสัมมนาการเพิ่มความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ในการจัดซื้อจัดจ้างสาธารณะ ที่จัดขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ว่า การทุจริตคอร์รัปชันเป็นปัญหาสำคัญในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย เกิดได้หลายรูปแบบและหลายระดับ เจ้าหน้าที่เรียกร้องผลประโยชน์จากผู้ประกอบการและประชาชน
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลมุ่งมั่นสร้างสังคมปลอดทุจริตคอร์รัปชัน ที่ต้องอาศัยทุกภาคส่วน สังคมต้องตื่นตัวไม่รับไม่ทนกับเรื่องเช่นนี้ ต้องมีการเผยแพร่ข้อมูล การให้สังคมเข้าถึงข้อมูล ซึ่งกระทรวงการคลังก็ได้มีการปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีความโปร่งใสมาก จากระเบียบจัดซื้อจัดจ้างของสำนักนายกรัฐมนตรีปี 2535 เป็น พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐปี 2560 ทำให้การจัดซื้อของไทยมีความโปร่งใสมากขึ้น
"การลงทุนภาครัฐมีสัดส่วนมูลค่า 15% ของจีดีพี ต้องใช้งบประมาณประเทศมหาศาล รัฐบาลมีเป้าหมายตั้งงบลงทุนให้ได้ปีละ 15-20% ของงบประมาณรายจ่าย ดังนั้นต้องมีระบบไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณของประเทศ ซึ่งสุดท้ายหนีไม่พ้นที่ประชาชนจะได้รับผลกระทบจากการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้น" นายอุตตมกล่าว
รมว.การคลังเปิดเผยด้วยว่า ในวันที่ 10 ก.ย.มีความเป็นไปได้ที่กระทรวงการคลังจะเสนอให้ ครม. พิจารณาขยายมาตรการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ต่อไปอีก หลังจากมาตรการเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ยังมีเวลาในการพิจารณาหรือตัดสินใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายอุตตมกล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาขยายเวลาการลด VAT 7% ออกไปอีก เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน แต่ในรายละเอียดกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะขอให้ ครม.ขยายภาษีออกไปอีก 1 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะมีผลต่อการส่งสัญญาณทางเศรษฐกิจในอนาคต
ทั้งนี้ที่ผ่านมา ครม.ได้ออกพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 669) พ.ศ.2561 ให้มีการปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 10% เหลือ 7% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.61 ถึงวันที่ 30 ก.ย.62 และหากยังไม่เสนอ ครม.ใหม่และเลยกำหนดวันที่ 30 กันยายนไปแล้ว ครม.ขยายเวลาการลดภาษีมูลค่าเพิ่มออกไป จะทำให้แวตปรับเพิ่มขึ้นเป็น 10% ทันที.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |