ใกล้รู้ผล!ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาวินิจฉัยอุทธรณ์จีทูจี 'บุญทรง'เครียด-ลูกชายรุดให้กำลังใจ


เพิ่มเพื่อน    

6 ก.ย.62 - ที่อาคารศาลฎีกา สนามหลวง นายนรินทร์ สมนึก ทนายความของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ จำเลยคดีทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ได้เดินทางมาถึงศาลก่อนเวลานัดฟังคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ 11.00 น. เพื่อเตรียมพร้อมในการเข้าร่วมฟังคำพิพากษา โดยนายนรินทร์ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ ระบุว่า ก่อนหน้านี้ 2-3 วันก็ได้พูดคุยกับนายบุญทรง จำเลยที่อยู่ในเรือนจำ ซึ่งได้รับทราบหมายศาลแจ้งกำหนดนัดฟังคำพิพากษาแล้ว ก็มีอาการเครียดอยู่บ้างเล็กน้อย เราก็หวังว่าจะได้รับความเมตตาจากศาล โดยคดีนี้ทางอัยการสูงสุดโจทก์ก็ได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยบางรายด้วย ขณะที่จำเลยในคดีนี้ก็ได้ขออุทธรณ์คำพิพากษาเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายบุญทรง และจำเลยร่วมคนอื่นๆ ที่ ต้องคำพิพากษาตามศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในครั้งแรกนั้น  15 รายศาลก็ได้เบิกตัวจำเลยมาจากเรือนจำ เพื่อจะฟังคำพิพากษาในช่วงเที่ยงและบ่ายวันนี้ โดยนายเดชนัฐวิทย์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)  บุตรชายของนายบุญทรง ก็ได้เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจบิดาด้วย ขณะก่อนที่จะถึงเวลานัดฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ได้นำตัวกลุ่มจำเลยที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำซึ่งวันนี้ศาลได้เบิกตัวมาตั้งแต่ช่วงเช้า ให้พักอยู่ในห้องควบคุมตัวบริเวณชั้น 1  ของศาลฎีกา ซึ่งมีรายงานแจ้งว่า ตั้งแต่เวลา 11.00 น.ทางศาลก็ได้ให้คู่ความทั้งอัยการโจทก์, จำเลย, ทนายความ รวมทั้งกลุ่มญาติจำเลย ทยอยเข้าห้องพิจารณาเพื่อเตรียมรอฟังการอ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ โดยจะเริ่มอ่านคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ ในเวลาประมาณ 12.00 น

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ขณะที่บรรยากาศโดยรอบอาคารศาลฎีกาก็ได้มีการจัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและ รปภ.ของศาล กระจายอยู่โดยรอบ ซึ่งได้มีการนำแผงกั้นมาวางยาวตลอดแนวถนนประมาณ 300-400 เมตรฝั่งคลองหลอดด้านหลังศาล เพื่อเป็นพื้นที่ให้สำหรับสื่อมวลชนที่ติดตามมาถ่ายภาพทำข่าว ซึ่งในการฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์คดีการทุจริตระบายข้าวจีทูจีวันนี้ ศาลฎีกาได้กำหนดข้อปฏิบัติสำหรับสื่อมวลชนไว้เข้มงวด โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปยังเข้าไปในบริเวณอาคารศาลและในห้องพิจารณาคดีเพื่อความเรียบร้อย เนื่องจากวันนี้มีจำเลยและผู้ติดตามจำนวนมากในการเข้าฟังคำพิพากษา โดยในส่วนของกลุ่มทนายความ, ญาติจำเลยกับผู้ที่ติดตามที่จะเข้าร่วมฟังคำพิพากษาภายในห้องพิจารณาคดีก็มีข้อปฏิบัติเข้มงวดเช่นกัน ซึ่งมีการตรวจเช็คเครื่องมืออุปกรณ์สื่อสาร รวมทั้งการเช็ครายชื่อกับบุคคลที่ได้ เสนอชื่อมาในการเข้าฟังคำตัดสินวันนี้ โดยการเข้าฟังคำพิพากษานั้นอนุญาตให้เฉพาะคู่ความในคดีและผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

ขณะที่การอ่านคำพิพากษาวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ ก็คาดว่าจะใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งคาดว่าอาจจะเสร็จสิ้นในเวลาประมาณ 17.00 น. โดยคดีนี้ครั้งแรกที่เคยได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อเดือน ส.ค. 2558 ก็เคยใช้ระยะเวลายาวนานถึง 5 ชั่วโมง

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับการอ่านคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ของจีทูจีวันนี้ สืบเนื่องจากที่อัยการโจทก์ และจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต่อกฎหมายใหม่ (ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกผู้พิพากษาฎีกาและผู้พิพากษาอาวุโสในชั้นฎีกา ที่เคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าหัวหน้าคณะในศาลฎีกาจำนวน 9 คนที่ไม่เคยนั่งพิจารณาคดีจีทูจีมาก่อน มาเป็นองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ โดยให้ถือว่าคําวินิจฉัยนั้นเป็นคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์จะเลือกเป็นรายคดี) ภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2560 ให้จำคุกตั้งแต่ 4-48 ปีกลุ่มนักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรี และข้าราชการระดับสูงกรมการค้าต่างประเทศ รวมทั้งเอกชนกลุ่มนักค้าข้าว ที่ตกเป็นจำเลยรวม 15 ราย คือจำเลยที่ 1,2,4,5,6,7, 8,9,11,12,13,14,15,17,18

และปรับ 3 ราย คือ บจก.สยามอินดิก้า จำเลยที่ 10 เป็นเงิน 1 ล้านบาท ,  บจก.กีธา พร็อพเพอร์ตี้ จำเลยที่ 20 จำนวน 25,000 บาท  และ น.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร บุตรสาวเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 21 จำนวน 40,000 บาท กับให้ บจก.สยามอินดิก้า-น.ส.ธันยพร ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายกับกระทรวงการคลัง จำนวน 1,294,109,764.80 บาทด้วย

นอกจากนี้ให้ บจก.สยามอินดิก้า จำเลยที่ 10 , เสี่ยเปี๋ยง นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร นักธุรกิจค้าข้าวคนสำคัญ จำเลยที่ 14 และนายนิมล หรือโจ รักดี คนสนิทเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 15 ร่วมกันชดใช้กระทรวงการคลังด้วย 16,912,128,273.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับแต่วันที่รับมอบข้าวตามสัญญาแต่ละฉบับ

โดยยกฟ้องจำเลยที่ 19 ซึ่งเป็นสามีของญาตินายอภิชาต และกลุ่มโรงสีกับผู้บริหารโรงสี จำเลยที่ 22 , 23 , 24 , 25 , 26 , 27 , 28 รวม 8 คน

ทั้งนี้สำหรับ พ.ต.นพ.ดร.วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 3 และนายสุธี เชื่อมไธสง คนสนิทของเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 16  ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวไปเพราะจำเลยหนีคดี ก็ปรากฏว่าต่อมาเมื่อมี พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (วิ อม.) พ.ศ.2560 ออกมาบังคับใช้ ให้อำนาจศาลฎีกาฯ พิจารณาคดีที่ฟ้องและออกหมายจับจำเลยแล้วได้ใหม่โดยไม่มีตัวจำเลย อัยการสูงสุดจึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลนำคดีของทั้งสองพิจารณาใหม่ โดยเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2562 องค์คณะศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาว่าทั้งสองได้ร่วมกระทำผิดด้วย ให้จำคุก พ.ต.นพ.ดร.วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 3 รวม 4 กระทงเป็นเวลา 72 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้วให้จำคุกทั้งสิ้น 50 ปี และนายสุธี คนสนิทของนายอภิชาติหรือเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 16 จำคุก 4 กระทงเป็นเวลารวม 32 ปี และให้จำเลยที่ 16 ชดใช้ค่าเสียหายให้กับกระทรวงการคลังด้วยจำนวน 16,912,128,273.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันทำสัญญาด้วย 

ดูข่าวรายงานด้วยว่าสำหรับจำเลยทั้ง 28 คนประกอบด้วย นายภูมิ สาระผลอดีต รมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว เป็นจำเลยที่ 1 ,นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานอนุ กก.พิจารณาระบายข้าว จำเลยที่ 2 , พ.ต.นพ.ดร.วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 3 , นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 4 , นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 5 , นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยงหรือทีปวัชระ อดีต ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ จำเลยที่ 6  , นายสมคิด เอื้อนสุภา จำเลยที่ 7 , นายรัฐนิธ โสจิระกุล จำเลยที่ 8 , นายลิตร พอใจ จำเลยที่ 9 , บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด จำเลยที่ 10 ,น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง จำเลยที่ 11 , น.ส.เรืองวัน เลิศศลารักษ์ จำเลยที่ 12 , น.ส.สุทธิดาหรือสุธิดา ผลดีหรือจันทะเอ จำเลยที่ 13 , นายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร นักธุรกิจค้าข้าวคนสำคัญ จำเลยที่ 14  , นายนิมล หรือโจ รักดี จำเลยที่ 15 , นายสุธี เชื่อมไธสง คนสนิทของนายอภิชาติหรือเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 16  , นางสุนีย์ จันทร์สกุลพร ญาติเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 17 , นายกฤษณะ สุระมนต์ จำเลยที่ 18 , นายสมยศ คุณจักร จำเลยที่ 19 , บริษัท กีธา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดหรือบริษัท สิราลัย จำกัด จำเลยที่ 20 , น.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร บุตรสาวเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 21 , ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสีกิจทวียโสธร จำเลยที่ 22 , นายทวี อาจสมรรถ หุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 23 , บริษัท กิจทวียโสธรไรซ์ จำกัดโดยนายทวี อาจสมรรถ กรรมการ จำเลยที่ 24 , บริษัท เค.เอ็ม.ซี. อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด จำเลยที่ 25 , นายปกรณ์ ลีศิริกุล กรรมการบริษัท จำเลยที่ 26 , บริษัท เจียเม้ง จำกัด จำเลยที่ 27 และนางประพิศ มานะธัญญา กรรมการบริษัท จำเลยที่ 28

ยื่นฟ้องในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ จัดการหรือรักษาทรัพย์ ใช้อำนาจโดยทุจริตสร้างความเสียหายแก่รัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.151 ,ม.157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตสร้างความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4, 123 ,123/1 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542 มาตรา 4, 9, 10,12 พร้อมขอให้ศาลสั่งปรับจำเลย รวม 35,274,611,007 บาทด้วยซึ่งคิดคำนวณจากมูลค่าครึ่งหนึ่งในสัญญาระบายข้าวกว่า 5 ล้านตันที่พบว่ามีการกระทำผิดสัญญา 4 ใน 8 ฉบับ โดย ก.ม.ฮั้วประมูล ม.4 กำหนดให้ขอปรับได้ร้อยละ 50 จากมูลค่าตามสัญญา และให้กลุ่มเอกชนและบริษัทนิติบุคคล 15 ราย (จำเลยที่ 14-28) ร่วมกันชดใช้ความเสียหายทางแพ่งด้วยประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยด้วย


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"