ทวงคืนความยุติธรรม'อังคณา'จี้นายกฯ-ดีเอสไอเร่งสืบคดี'ทนายสมชาย'และผู้ที่ถูกอุ้มหายทุกคน


เพิ่มเพื่อน    


6ก.ย.62-เมื่อวันที่ 3ก.ย.ที่ผ่านมา นางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ภรรยานายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งถูกอุ้มตัวหายไปเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2547 ได้สร้างแคมเปญรณรงค์ผ่านเว็บไซต์ Change.org ร้องเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอทวงคืนความยุติธรรมคดี 'ทนายสมชาย' ผ่าน พรบ.ต่อต้านการทรมานและอุ้มหาย โดยระบุว่า
ตามที่ DSI ให้ข่าวว่าบ่ายโมงวันนี้จะแถลงข่าวกรณี #บิลลี่ และหากเป็นไปตามที่กล่าวในเวทีเสวนา #คนก็หาย #กฎหมายก็ไม่มี เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ว่าจะมีข่าวดี (แม้ฟังแล้วจะขมขื่น) แต่ก็เป็นอีกขั้นตอนของกระบวนการสอบสวนและการเปิดเผยความจริง ถ้ากระดูกที่พบคือกระดูกของบิลลี่ บิลลี่ก็จะไม่อยู่ในสถานะผู้ถูกบังคับสูญหายอีกต่อไป ครอบครัวจะสามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้เขาได้ ในส่วนครอบครัวการทราบชะตากรรมจะเป็นการปลดปล่อยพันธนาการของความคลุมเครือ แต่ก็คงเป็นความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานอย่างที่สุดในการรับรู้การกระทำที่ป่าเถื่อน โหดร้ายไร้มนุษยธรรมเช่นนี้
ส่วนตัวเห็นว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้รัฐบาลต้องเร่งทำความจริงในคดีนี้ให้ปรากฎคือการที่กรรมการมรดกโลกกดดันให้เวลาประเทศไทย 1 ปีในการแก้ปัญหาการอยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ในผืนป่าแก่งกระจาน โดยเฉพาะกรณีการหายตัวไปของบิลลี่
สำหรับกรณีผู้ถูกบังคับสูญหายรายอื่นๆที่ DSI รับเป็นคดีพิเศษรวมถึงคดี #สมชายนีละไพจิตร DSI ไม่มีความเต็มใจ (unwillingness) ทำคดีตั้งแต่ต้น และได้งดการสอบสวนไปนานแล้ว และไม่มีท่าทีต้องการรื้อฟื้นคดีกลับมาใหม่ คิดว่าอาจเป็นเพราะผู้กระทำผิดและบรรดาผู้เกี่ยวข้องล้วนยังมีอำนาจมากมายในปัจจุบันจนยากที่ใครจะกล้าแตะ
กรณีสมชายเกิดขึ้นในช่วงการใช้นโยบายสงครามยาเสพติด และการปราบปรามการก่อการร้ายใน จชต. ซึ่งปรากฎมีคนจำนวนไม่น้อยที่สูญหายในช่วงเดียวกัน ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงใน จชต. เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานจนปัจจุบัน
-------
12 ปีแล้วที่ดิฉัน อังคณา นีละไพจิตร และลูกๆ อีก 5 คนไม่ได้พบหน้าทนายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมและรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสภาทนายความ และที่สำคัญกว่านั้นคือ “สามี” ของดิฉันและ “พ่อ” ของลูกๆ สิ่งที่เหลือมีเพียงความโศกเศร้า คำถาม และคดีความที่จบลงด้วยการพ่ายแพ้
ก่อนหายตัวไป “ทนายสมชาย” ว่าความให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ที่อ้างว่าถูกทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้รับสารภาพ จนกระทั่งคืนวันที่ 12 มีนาคม 2547 ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลยหลังจากที่เขาแยกตัวกับเพื่อนทนายย่านรามคำแหง ดิฉันและครอบครัวยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นตำรวจ 5 นาย 1 ในนั้นคือตำรวจที่ลูกความของทนายสมชายกล่าวหาว่าทรมานผู้ต้องสงสัยด้วย
ในขณะที่ความหวังที่ครอบครัวนีละไพจิตรจะได้อยู่พร้อมหน้าอีกครั้งริบหรี่ลงเรื่อยๆ โอกาสครั้งสำคัญที่ดิฉันและลูกๆ จะได้รับรู้รสชาติความยุติธรรมก็จบลงเช่นกัน ศาลฎีกาตัดสินเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ยกฟ้องตำรวจทั้ง 5 นาย โดยไม่พิจารณาหลักฐานเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์ที่มีความน่าเชื่อถือซึ่งฝ่ายดิฉันยื่นไป สิ่งที่เกิดขึ้นเสมือนเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ทรมานทางจิตใจตลอด 12 ปีของพวกเราให้เพิ่มขึ้นทวีคูณ
วันนี้ ดิฉันในฐานะภรรยาของทนายสมชายและผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ร่วมกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ซึ่งช่วยจัดทำแคมเปญนี้ขึ้นมา ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง;
เร่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้สืบคดีของนายสมชาย นีละไพจิตรอย่างจริงจัง
สอบสวนการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร และผู้ที่คาดว่าถูกอุ้มหายทุกคนในประเทศไทย อย่างเป็นอิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ มีการสั่งพักงานเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นไปได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการอุ้มหาย ตลอดจนนำตัวผู้ต้องสงสัยเข้าสู่การพิจารณาคดีที่เป็นธรรม
ผ่านร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. .... โดยที่เนื้อหาต้องสอดคล้องกับ อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และ อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้การทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย (อุ้มหาย) เป็นความผิดทางอาญาอย่างชัดเจนตามนิยามในอนุสัญญาฉบับดังกล่าวด้วย
ให้สัตยาบันต่อ อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ และบังคับใช้กฎหมายในประเทศให้สอดคล้องกับข้อบทของอนุสัญญาดังกล่าว
ระบุที่อยู่และชะตากรรมของผู้ที่คาดว่าถูกอุ้มหาย ตลอดจนนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
รับประกันว่าผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนและครอบครัวจะได้รับการเยียวยาอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ แม้ดิฉันจะได้รับข้อมูลว่าทนายสมชายถูกทรมานจนเสียชีวิต แต่ก็ไม่มีหน่วยงานรัฐไหนที่รายงานอย่างเป็นทางการได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับทนายคนสำคัญของไทยและสมาชิกคนสำคัญของครอบครัวนีละไพจิตรคนนี้กันแน่
“ความจริง” ยังคงหลบซ่อนอยู่ในมุมมืดที่ใดสักแห่งในสังคมไทย ดิฉันขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยร่วมกันใช้โอกาสครบรอบ 12 ปีการหายตัวไปของทนายสมชายเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องนำความยุติธรรมมาสู่ทนายสมชาย ครอบครัวนีละไพจิตร ตลอดจนผู้ที่คาดว่าถูกอุ้มหายคนอื่นๆ ในประเทศต่อไปด้วย
"การบังคับสูญหายไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ อาจเป็นคนในครอบครัวคุณหรือคนที่คุณรัก ... ร่วมรณรงค์กับเราเพื่อยุติการบังคับสูญหายในประเทศไทย"
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 6ก.ย.มีผู้ร่วมลงชื่อแล้ว 21,360 ราย


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"