บิ๊กตู่ลั่นไปแจงสภาแน่ ซัดวิญญูชนต้องรู้อะไรควรพูด/‘ชวน’ย้ำ18ก.ย.วันเดียวจบ


เพิ่มเพื่อน    

  “ประยุทธ์” ฉุนฝ่ายค้านยึกยัก ลั่นไม่เบี้ยวประชุมสภา 18 ก.ย.แน่ ส่วนที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยส่งทีมกฎหมายไป ซัดเป็นวิญญูชนควรรู้อะไรควรพูด-ไม่พูด ไม่ใช่จะพ่นน้ำลาย 3-4 วันแค่เรื่องเดียว “เพื่อไทย” ดักคอหวั่น “ลุงตู่” โดดร่ม เพราะมีทั้งข่าวไอโอแล้วยังมีวันตัดสินคดี รี่ถก “ประธานชวน” เลื่อนเร็วขึ้น ก่อนสุดท้ายต้องยึดตามกำหนดเดิม

    เมื่อวันพฤหัสบดี ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 18 ก.ย. เพื่ออภิปรายโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ในเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณ และการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่ไม่บอกแหล่งที่มาของงบประมาณ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีอาจลำบากใจในการชี้แจงในวันที่ 18 ก.ย. หากต้องพูดถึงสถาบันฯ ว่า ไม่รู้สึกลำบากใจ แต่ต้องไปพูดคุยกันก่อนว่าจะสามารถพูดได้แค่ไหนอย่างไร หากพูดแล้วมีผลกระทบ
เมื่อถามว่า ในวันเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญได้นัดอ่านคำวินิจฉัยกรณีความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 170 วรรค 1 (4) ประกอบมาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (15) หรือไม่ด้วย พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ก็ว่ากันไป ถือเป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องแยกแยะให้ออก โดยได้ส่งฝ่ายกฎหมายไป ส่วนที่ฝ่ายค้านแสดงความกังวลว่านายกฯ อาจหยิบมาเป็นประเด็นจะไม่เดินทางเข้ามาที่ประชุมรัฐสภาในวันดังกล่าว คงไม่เกี่ยวกัน ถ้าไปได้ก็ไป ซึ่งทุกวันนี้ก็มีงาน 4-5 งาน ทั้งช่วงบ่ายและช่วงเย็น ทุกๆ วันจะเป็นอย่างนี้ ขอให้เห็นใจบ้าง ซึ่งทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรคืออะไร แต่ก็ยังมีความพยายามทำให้เกิดความสับสน ซึ่งก็ต้องหาข้อยุติให้ได้ 
    “ในวันที่ 18 ก.ย. ผมก็มีงานที่ต้องทำอยู่เหมือนกัน แต่ผมยืนยันว่าจะเข้าไปฟัง แต่หากมีภารกิจผมก็ต้องออกมาบ้าง แล้วจะกลับไปฟังใหม่ คงต้องเป็นแบบนี้ จะไม่ให้ผมทำงานอย่างอื่นเลยหรือ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว และตอบข้อถามว่านายกฯ ไม่ได้เคลียร์งานเอาไว้ใช่หรือไม่ ว่าจะเคลียร์ได้อย่างไร 
เมื่อถามย้ำว่า ฝ่ายค้านบอกว่าเวลามีอยู่อย่างจำกัด พล.อ.ประยุทธ์สวนว่า “จะพูดกันนานแค่ไหน 3-5 วันเลยหรืออย่างไรกับเรื่องการถวายสัตย์ฯ ซึ่งก็มีอยู่เรื่องเดียว ผมก็รู้อยู่แล้วว่าเขาก็พูดเหมือนเดิม”
    เมื่อถามว่า ควรอภิปรายเพียงแค่ครึ่งวันใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้เหมือนกัน แล้วแต่วิปรัฐบาล ส่วนที่ฝ่ายค้านจะบอกว่าจะลากเวลาถึงเวลา 24.00 น. มองว่าเท่าไหร่ก็เท่านั้น ก็แล้วแต่ ซึ่งคำชี้แจงต่างๆ อยู่ในหัวหมดแล้ว 
    ถามว่าจำเป็นต้องมีองครักษ์พิทักษ์หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนว่า องครักษ์เป็นใคร หากเป็น ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐก็เป็นเรื่องของ ส.ส. ถ้าพูดนอกประเด็นเขาก็มีสิทธิ์ เช่นเดียวกับที่ฝ่ายรัฐบาลพูดอะไรไปฝ่ายค้านก็มีสิทธิ์ที่จะพูด นี่คือสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน จะไปบังคับใครได้
    สอบถามกรณีที่นายกฯ ไปพูดระหว่างลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ว่าเรื่องนี้ได้มีการลงพระปรมาภิไธยไปแล้ว ถือว่าจบแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็แล้วแต่จะคิด และควรรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะเป็นวิญญูชน และการอภิปรายครั้งนี้ก็ไม่ได้ลงมติ ซึ่งจะชี้แจงเท่าที่ชี้แจงได้ และทำอย่างไรไม่ให้ก้าวล่วงไปถึงสถาบันฯ ซึ่งก็เห็นบทบัญญัติอยู่แล้ว แต่ก็เป็นประเด็น แต่ถ้าบอกว่าเคารพรัฐธรรมนูญ แล้วที่ผ่านมาที่ว่าเคารพและธรรมนูญมันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง
40 ปีสัมพันธ์ป้อม-ป๊อก
    ที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (วปอ.) พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า ฟังประชาชนเสียงส่วนใหญ่ เราต้องทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน จำคำพูดไว้ มีแค่นี้ในชีวิต ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน 4 อย่าง นี่คือมอตโต้ที่ใช้มาตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการทหารบก ทหารทุกคนใช้คำนี้หมด
    “สถานการณ์วันนี้อยากให้ทุกคนช่วยลดความขัดแย้งทางสังคมให้ได้ อะไรที่โพสต์มาไม่น่าสนใจอย่าไปโพสต์ต่อ ใครจะด่านายกฯ จะชมนายกฯ ผมก็ไม่สนใจ ทางพระสอนไว้แล้วว่าอย่าไปดีใจเมื่อมีคนรัก อย่าไปเสียใจเมื่อคนไม่ชอบ คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ สาธุ ผมปลงทุกวัน บางทีก็อึดอัดอกจะแตก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่ต้องมีความสุขกับการทำงาน ส่วนความทุกข์ก็อีกส่วนหนึ่ง” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ
    พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึง พล.อ.ประวิตร ว่ามีวันนี้ได้เพราะท่านสอนมา ไม่มีใครเข้าใจหรอก ถ้าเราไม่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาแบบตนเองกับท่าน อยู่ชายแดนมาด้วยกัน ตนเองก็หนุ่ม ท่านก็หนุ่ม มีความห่วงใยที่ดีให้กัน มีความผูกพันและร่วมชะตากรรมกันมา คนที่ 2 คือพี่ป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ถึงมายืนจุดนี้ ก็พิสูจน์ตัวกันมานาน ท่านก็ไว้ใจตนเอง นอนบ้านเดียวกันมาทั้งหมด ความสัมพันธ์นี้มากกว่า 40 ปี ไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์หรือตอบแทนอะไรกันทั้งสิ้น
“หลักการของผม ถ้าทำดีก็ได้ดี ถ้าไม่ทำดีต่อให้รักแค่ไหนก็ตาม ผมก็ไม่ให้ พี่เขาก็ไม่ให้ ถ้าตอนเกเรเขาก็ไล่ผมเตลิดออกจากบ้านไปนานแล้ว นี่คือสิ่งสำคัญ ส่วนเรื่องอื่นก็ไปว่ากันมา ทุกคนรู้บทบาทและหน้าที่ของตัวเอง และต้องหนักแน่นในการทำงาน ผมอาจเป็นนายกฯ ที่ไม่เหมือนคนอื่น แต่ผมมาพูดกับพี่กับน้อง ข้างนอกบางทีผมก็หลุดบ้าง แต่ในนี้ถือว่าเป็นพี่กับน้อง คงให้อภัยผมบ้าง วันหน้าจะหัดเดินโก้ๆ เก๋ๆ เดินขวาทีซ้ายทีเท่ดี แต่กลัวสะดุดขาตัวเองเท่านั้น เพราะแก่แล้ว” นายกฯ กล่าว
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการอภิปรายในวันที่ 18 ก.ย. ว่าเป็นเรื่องของคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ที่จะดำเนินการ ส่วนตัวคงไม่ลงไปในรายละเอียด ปล่อยให้วิปรัฐบาลเขาทำงานบ้าง และไม่จำเป็นต้องซักซ้อม
    ขณะเดียวกัน ที่รัฐสภา ตัวแทน 7 พรรคฝ่ายค้านนำโดยนายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน และนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ร่วมแถลงกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคุณสมบัตินายกฯ ตรงกับวันอภิปรายแบบไม่ลงมติ โดย นพ.ชลน่านระบุว่า เราเกรงว่า พล.อ.ประยุทธ์จะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างไม่มาตอบคำถามในสภา จึงอยากแจ้งสื่อไว้ล่วงหน้าว่าการอ่านคำวินิจฉัยจะเริ่มช่วงเวลา 14.00 น. โดยคาดว่าใช้เวลา 2 ชั่วโมงเท่านั้น ขณะที่เราเริ่มประชุมกันตั้งแต่ช่วงเช้าถึงเที่ยงคืน และคาดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมาตอบคำถามในช่วงค่ำ ซึ่งไม่เกี่ยวกับเวลาที่ศาลนัดอ่านคำวินิจฉัย ดังนั้นหาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่มา ก็เท่ากับหนีสภา เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ไม่จำเป็นต้องไปฟังคำวินิจฉันด้วยตัวเอง แต่กลับทำท่าทีเหมือนจะไปฟังเอง
ไอโอทำลายฝ่ายค้าน!
    นายสุทินกล่าวว่า มีข้อสังเกตอยู่ 2 ประเด็น ประเด็นแรกคือว่าวันนี้รัฐบาลมีการสร้างข่าวไอโอ ลดน้ำหนักเรื่องการอภิปรายตามมาตรา 152 กล่าวว่าหาว่าฝ่ายค้านละเลยปัญหาน้ำท่วม สนใจแต่เรื่องการถวายสัตย์ฯ ซึ่งขอชี้แจงว่าไม่ได้ละเลยปัญหาน้ำท่วม ส.ส.ฝ่ายค้านได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือและประจำอยู่ในพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วม ตรงกันข้ามรัฐบาลซึ่งมีศักยภาพทั้งงบประมาณและกลไกในการช่วยเหลือประชาชนกลับไม่เห็นรัฐบาลใช้ประสิทธิภาพเหล่านี้ช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที ซึ่งเรารู้ทันว่านายกฯ ที่จะเอาปัญหาน้ำท่วมมาทำลายน้ำหนักของเรา และประเด็นที่สอง รู้สึกไม่สบายใจในประเด็นที่นายกฯ ให้สัมภาษณ์ที่บอกว่าการถวายสัตย์ฯ จบแล้ว สมบูรณ์แล้ว ไปดูสิว่าใครลงพระปรมาภิไธย พระบรมราชโองการว่าอย่างไร 
“การให้สัมภาษณ์อย่างนี้ทำให้ไม่สบายใจ 2 ประเด็น คือนายกฯ ใช้ถ้อยคำที่ไม่ค่อยเหมาะสม อยากให้นายกฯ ระมัดระวังและทบทวน ถ้าคิดว่าคำนี้ไม่เหมาะสม พลาดพลั้งไปก็ขอให้แก้ไข เพราะถ้าเป็นเราจะไม่ใช้คำพูดนี้ ส่วนอีกมุมหนึ่งมองได้ว่าวันนี้ฝ่ายรัฐบาลกำลังลากฝ่ายค้านไปพูดเรื่องนี้ด้วย แต่การอภิปรายตามมาตรา 152 นั้น ไม่เกี่ยวกับสถาบันฯ แต่รัฐบาลพยายามพูดหลายครั้งเพื่อลากเราเข้าไปใกล้ เข้าไป นัวเนียกับเบื้องบน ดังนั้นขอเตือนว่าเรารู้ทัน เราจะไม่พูด และรัฐบาลอย่าทำแบบนี้เพื่อหวังว่าจะได้ประชุมลับหรือไม่ หรือปัดความผิดว่าไม่ได้อยู่ที่ตัวนายกฯ ดังนั้นจึงขอให้หยุด เพราะเรารู้ทัน และเราจะไม่มีการอภิปรายไปถึงสถาบันฯ แน่นอน” นายสุทินย้ำ
    นายสุทินกล่าวต่อว่า จะขอหารือนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอขยับวันอภิปรายขึ้นมาเป็นวันที่  17 ก.ย.แทน เพราะเราเชื่อว่านายชวนยังไม่ทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยดังกล่าวในวันที่ 18 ก.ย. และเชื่อว่าประธานสภาฯ จะไปหารือกับรัฐบาลได้ เพื่อให้นายกฯ ยกเลิกภารกิจอื่นๆ เพื่อมาชี้แจงในเรื่องนี้แทน ยืนยันเราไม่ได้มากเรื่อง แต่อยากให้ประธานสภาฯ ทบทวน ทั้งนี้ การบริหารบ้านเมืองต้องบริหารทุกเรื่องไปพร้อมๆ หากนายกฯ ทำทีละเรื่องบ้านเมืองแย่แน่นอน 
    ต่อมา นพ.สุกิจ อัตโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาฯ กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านขอหารือเลื่อนวันอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ว่านายชวนติดภารกิจ จึงได้มอบหมายให้ตนเองไปหารือกับนายสุทิน และได้ข้อสรุปว่าจะยังคงมีการอภิปรายในวันที่ 18 ก.ย.ตามเดิม เนื่องจากนายกฯ ได้ทำหนังสือแจ้งมาว่ามีความพร้อมในวันดังกล่าว ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะแจ้งว่าอ่านคำวินิจฉัยกรณีคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ซึ่งวิปฝ่ายค้านไม่ได้ติดใจในข้อสรุปดังกล่าว
    ทั้งนี้ ในการประชุมสภา นายวิรัตน์ วรศสิริน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ได้ขอหารือถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์นำ ครม.ถวายสัตย์ฯ ไม่ครบตามรัฐธรรมนูญว่า เรื่องนี้ยังไม่จบ พล.อ.ประยุทธ์ไม่แสดงความรับผิดชอบ และยังพูดให้ประชาชนสับสนเข้าใจผิด จึงขอหารือต่อประชุมเป็นครั้งที่ 4 เพราะประชาชนฝากถาม พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะผู้มีประสบการณ์ว่า คำถวายสัตย์ฯ ที่ขาดหายไป หากใครไม่ถือปฏิบัติถือว่าเป็นกบฏฉีกรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ และกรณี พล.อ.ประยุทธ์และ ครม. 35 คนกระทำผิดรัฐธรรมนูญ และเมื่อทราบก็ยังไม่แสดงความรับผิดชอบ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ครม.รู้เห็นเป็นใจร่วมกันกระทำผิดรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่
ลั่นยังอยู่ 7 พรรค
    วันเดียวกัน นายมนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ (ศม.) พร้อมกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ได้แถลงข่าวยืนยันว่า การคัดเลือกหัวหน้าพรรคและ กก.บห.เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ถูกต้อง และยืนยันว่าพรรคยังเป็น 1 ใน 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนที่มีการร้องเรียน กก.บห.พรรคชุดใหม่นั้น เชื่อว่าไม่มีปัญหา และกำลังให้ฝ่ายกฎหมายศึกษาอยู่ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
    ขณะเดียวกัน ทีมกฎหมายพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ได้นำเอกสารคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากรณีล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ จำนวน 3 กล่อง มาส่งยังสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว โดยถือเป็นวันสุดท้ายของกรอบเวลา 30 วันที่พรรค อนค.ได้ขอขยายเวลา
    ส่วนนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป กล่าวถึงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยยื่นเรื่องไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบการยกเลิกพรรคประชาชนปฏิรูป ว่ามี 2 ประเด็นที่นายศรีสุวรรณทำผิดกฎหมาย โดยประเด็นแรกคือการให้สัมภาษณ์ที่เข้าข่ายหมิ่นประมาท ซึ่งจะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาให้เร็วที่สุด และประเด็นที่สองที่ระบุว่าได้ทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งถือเป็นการแจ้งความเท็จ โดยจะยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบอย่างเร็วที่สุด
    “ผมเคยเปรียบเทียบตัวเองเป็นซามูไรทางด้านกฎหมาย จึงขอยืนยันจะรักษาหลักกฎหมายเพื่อทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ และให้ความรู้ประชาชนที่ถูกต้อง โดยยืนยันว่าการฟ้องร้องต่างๆ นั้นจะไม่มีการดำเนินคดีกับสื่ออย่างแน่นอน” นายไพบูลย์กล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"