กิจกรรมลงเท้าตามกำหนดการอีกแล้วสำหรับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการขนคณะรัฐมนตรีลงติดตามสถานการณ์อุทกภัยจากฤทธิ์พายุ “โพดุล” ที่พิษณุโลกและสุโขทัย ซึ่งก็ มีภาพน่ารักจากฝีไม้ลายมือของ “โฆษกหญิง” อย่าง “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ที่โพสต์เฟซบุ๊กถึงมื้อแรกของ “ลุงตู่” ที่มีเพียง “ข้าวกล่องผัดกะเพราหมู ไข่ดาว” เรียกว่ากินง่ายอยู่ง่าย เรียกเสียงเชียร์แม่ยกกันได้เยอะทีเดียว แต่อาจขัดใจบรรดา “ฝ่ายแค้น” ทั้งหลายว่าเป็นการสร้างภาพก็เป็นได้ เพราะขนาด “ทหาร-ตำรวจ” ไปช่วยเหลือดูแลผู้ประสบอุทกภัยทั้งหลาย ก็ มีนักการเมืองสอบตกที่ยังมีปัญหาเรื่องคดีความและศีลธรรมในชีวิต ยังมีหน้ามาจิกกัดว่าทำเพื่อสร้างภาพทวงบุญคุณอีก ก็คิดได้แค่นี้ จึงไม่แปลกใจทำไมถึงสอบตกแบบไม่เหลือคราบอดีต ส.ส.เลย ...๐

ขำไม่ออกจริงๆ เมื่อ “นคร มาฉิม” อดีต ส.ส.พิษณุโลก ที่ได้ดีเป็นถึงรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ออกมาเสนอแนะ “พล.อ.ประยุทธ์” ในการแก้ไขน้ำท่วม โดยให้นำแผนบริหารจัดการน้ำยุค “เอาอยู่” ของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” มาปัดฝุ่น พิโธ่! จะเชลียร์นายใหญ่-นายหญิงอย่างไรก็น่าจะมีหัวคิดบ้างก็ดีนะจ๊ะ ไม่ใช่หลับหูหลับตา เพราะในยุค “หนูไม่รู้” นั้น นอกจากตราบาปว่าด้วย “จีทูเจี๊ยะ” แล้ว ก็คือเรื่องมหาอุทกภัยในปี 2554 ซึ่งเรียกว่าคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะ “คนกรุง” ยังแค้นและจำไม่เคยลืมเลย ...๐

เอ่ยถึง “อดีตนายกฯ แคตวอล์ก” แล้วไม่เอ่ยถึง “สนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ไม่ได้ เพราะมีข่าวดีหลังรับโทษมาแล้ว 3 ปี 1 เดือน โดยได้รับการปล่อยตัวแล้ว ซึ่ง “พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์แถลงยืนยันว่าไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือ “ใบสั่ง” แต่เป็นการตีความทางกฎหมายโดยแท้ ซึ่ง หาก “พี่ชาย” ของหนูไม่รู้ไม่หนีไปต่างประเทศ แล้วยอมรับโทษตามกระบวนการยุติธรรม เชื่อว่าหน้าประวัติศาสตร์การเมืองอาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ ที่สำคัญประเทศไทยอาจไม่มีการแบ่งค่ายแบ่งสีเลือกข้างเหมือนทุกวันนี้ หมอดูไม่รู้กี่สำนักก็ทายทักแล้วทายทักเล่าว่า “คนหน้าเหลี่ยม” นี้เรียกว่าอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่าง “รัฐบุรุษ” และ “ทรราช” ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวว่าจะเลือกทางไหน ...๐

นี่ก็อีกราย “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (ตอนนี้) ที่เลือกลอกและเลียนแบบสัมภเวสีในการใช้การตลาดนำการเมือง แต่ปรับให้ทันสมัยตามยุค 4.0 โดยใช้ “สื่อสังคมออนไลน์” ในการเป็นหัวหอก ซึ่งล่าสุด “ศาลรัฐธรรมนูญ” ก็ตีตกคำร้อง “พ่อฟ้า” ที่ขอให้ยกเลิกคำสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่ โดยองค์คณะตุลาการให้เหตุผลสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “ยังไม่ปรากฏพฤติการณ์อันเป็นเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เดิม” ...๐

แหม! อยากบอกว่า หากให้ยกเลิกเร็วตามใจวัยรุ่น เจ้าตัวก็น่าจะรีบส่งหลักฐานยืนยันให้ศาล ไม่ใช่ขยายเวลาจนหมดโควตา ซึ่งเหมือนกับการแจ้งบัญชีทรัพย์สินนั่นแล ที่ขยายเวลาแล้วขยายเล่า แต่กลับจะมาเร่งให้ยกเลิกคำสั่ง โถ! ถ้าวินิจฉัยเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคำสั่งก็กลายเป็นอดีตเองนั่นแล หรือเริ่มรู้แล้วว่า “สังคมไทย” นั่นเบื่อง่ายหน่ายเร็ว เพราะช่วงนี้ “พ่อฟ้า” แทบไม่เคยเป็นข่าว หรือกระแสอะไรเลย เรียกว่า ”เรตติ้ง” ยังสู้ตี๋เต้ “มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ฝ่ายค้านอิสระไม่ได้เลย จึงต้องออกมาเอกเซอร์ไซส์ ทั้งที่ก็รู้ว่าจะออกมารูปแบบนี้กันจ๊ะ ...๐

เรียกว่ากลับมาเป็นกระแส “ฮอต” อย่างยิ่ง เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมาแถลงไขถึงความเป็นไปของ “พอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ” แกนนำกะเหรี่ยงโป่งลึก-บางกลอย ที่หายตัวไปอย่างลึกลับตั้งแต่ 17 เม.ย.2557 ซึ่งหลังมีความกระจ่างชัด ต่อไปก็คงต้องติดตามคดีความที่จะตามมาว่าจะออกหัวหรือก้อยอย่างไร แต่ที่น่าสนใจคือ บรรดาขาห้อยขาโหนทั้งหลายที่พยายามโทษรัฐประหาร ทั้งที่ “บิลลี่” นั้นหายไปในยุคของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เหมือนกับ “ทนายสมชาย นีละไพจิตร” ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เป็นตายรายดีนั้น ก็สูญหายในยุคของพี่ชาย นายเหลี่ยม นี่หากนับกรณี “เอกยุทธ อัญชันบุตร” ที่มาเสียชีวิต เพราะถูกคนขับรถสังหารแบบแปร่งปร่าแล้วต้องบอกว่าในยุครัฐบาลประชาธิปไตยตามปากนี่แหละ น่ากลัวกว่ายุค “เผด็จการ” ในรูปแบบเสียอีก นี่ยังไม่พูดถึงการฆ่าตัดตอน 2,500 ศพในยุคปราบยาเสพติดอีกนะ  ที่จนป่านนี้ไม่เห็นมีใครหยิบยกขึ้นมาปัดฝุ่นกันบ้างเลย และที่น่าสังเกตเข้าไปอีก จะเห็นว่ากระแสเรียกร้องกรณี “บิลลี่” นั้น ก็มีแต่พลพรรคอนาคตใหม่ แต่พลพรรคเพื่อไทยกลับเงี่ยบฉี่เหมือนมีอะไรอุดปากซะอย่างงั้น ...๐

ท.ศักดิ์