ตำรวจเรียกไต๋เรือประมงกับผู้ช่วยเข้ารับทราบข้อหาจับโลมาสัตว์คุ้มครองหลังมีคลิปแพร่ในสื่อโซเชียล ผู้ต้องหารับนำมาทำเนื้อแดดเดียว 4 ตัว เจอโทษปรับ 3 แสนถึง 3 ล้าน ถ้าไม่จ่ายเจอคุก
    พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี (กมค.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการบังคับใช้กฎหมาย ศูนย์บัญชาการการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ ถึงกรณีมีการเผยแพร่คลิปเรือประมงและคนงานในเรือจับปลาโลมาขึ้นจากมหาสมุทร บริเวณน่านน้ำประเทศมาเลเซีย และมีการใช้ภาษาไทยสื่อสารกันบนเรือ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้เร่งตรวจสอบ
    จากการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง เป็นที่แน่ชัดว่าในเบื้องต้นมีผู้กระทำความผิดเป็นคนไทยจำนวน 2 คน คือนายธนัญชัย หรือไต๋หาร มิ่งมิตร อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นไต๋เรือลำที่เกิดเหตุ และอีกคนคือนายสันติ หรือไต๋ติ บัวผุด อายุ 49 ปี ซึ่งเป็นผู้ช่วยไต๋เรือลำดังกล่าว จึงได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาให้มาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 2 กันยายนนี้ พร้อมแจ้งข้อหาตาม พ.ร.ก.การประมงฯ มาตรา 66 ห้ามมิให้ผู้ใดจับสัตว์น้ำชนิดที่เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์น้ำที่หายากหรือใกล้สูญพันธุ์ตามที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด หรือนําสัตว์น้ำดังกล่าวขึ้นเรือประมง เว้นแต่มีความจําเป็นเพื่อการช่วยชีวิตของสัตว์น้ำนั้น ซึ่งตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กําหนดชนิดสัตว์น้ำที่เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์น้ำที่หายากหรือใกล้สูญพันธุ์ที่ห้ามจับหรือนําขึ้นเรือประมง พ.ศ.2559 รวมถึงโลมาและวาฬทุกชนิด โดยการกระทำผิดดังกล่าวมีโทษตามมาตรา 145 ปรับตั้งแต่ 300,000-3,000,000 บาท
    พล.ต.ท.จารุวัฒน์กล่าวว่า ในชั้นสอบสวน นายธนัญชัยกับนายสันติให้การรับสารภาพว่า ได้สั่งการให้คนงานในเรือเอาโลมาที่ติดอวนจำนวน 30 ตัว ขึ้นมาบนเรือจริง หลังจากนำขึ้นมาแล้วได้นำมาทำอาหารประมาณ 4 ตัว เป็นเนื้อแดดเดียว ส่วนโลมาที่เหลือได้โยนทิ้งลงทะเลไป ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ พนักงานสอบสวนจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการเปรียบเทียบตาม พ.ร.ก.การประมงฯ ดำเนินการพิจารณาเปรียบเทียบผู้ต้องหาทั้งสองตามกฎหมายต่อไป ซึ่งหากผู้ต้องหาไม่มีเงินจ่ายค่าปรับจะต้องถูกกักขังไม่เกิน 2 ปี.