ก็เล่นเอาอ่วมอรทัยกันไปตามสมควร...สำหรับการมาถึงของพายุ โพดุล หรือ พอดึล (Podul) ก็แล้วแต่จะเรียก โดยเฉพาะแถบอีสานบ้านเฮา อันถือเป็นจุดหลักที่พายุลูกนี้ขึ้นฝั่ง ตั้งแต่เมื่อวัน-สองวันที่แล้ว ต้องเจอกับภาวะน้ำท่วม ดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก เล่นเอาชาวบ้าน ชาวช่อง ต้องตกน้ำป๋อมแป๋ม ถนนขาด สะพานพัง บ้านเรือนเสียหาย ฯลฯ กันไปเป็นจำนวนมิใช่น้อย...
-----------------------------------------------
ส่วนพื้นที่อื่นๆ ไม่ว่าเหนือ กลาง ตะวันออก ไปจนถึงภาคใต้ รวมทั้ง กทม.เมืองที่คนตกท่อ ต่างได้รับผลกระทบมากบ้าง-น้อยบ้าง ไปตามสภาพ แต่ก็ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะช่วยบรรเทาทุกข์ บรรเทาความเดือดร้อน ไม่ว่าโดยภาครัฐ ภาคเอกชน โดยกำลังหลักของเหล่าทหารหาญ รวมทั้งบรรดา จิตอาสา ทั้งหลาย ที่พร้อมช่วยเหลือ เจือจาน ผู้ซึ่งอยู่ร่วมในผืนแผ่นดินเดียวกันมาโดยตลอด อะไรที่ดูหนักๆ มันน่าจะคลี่ๆ คลายๆ ลงไปได้มั่ง ตามแบบฉบับ ความเป็นไทย ที่สามารถงัดเอาความมี น้ำใจ มาสู้น้ำท่วม น้ำแล้ง สู้กับภัยพิบัติทางธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ ได้ครั้งแล้ว ครั้งเล่า...
-----------------------------------------------
และอย่างน้อย...ความหนักหน่วง หนักหนา สาหัส ของพายุ โพดุล ดูๆ แล้วยังอาจไม่หนักเท่ากับพายุ ดอเรียน (Dorian) หรือพายุเฮอริเคนลูกเบ้อเร่อเห้อ ที่ว่ากันว่า...กำลังขึ้นฝั่งที่ประเทศอเมริกา แถวๆ รัฐฟลอริดา ในช่วงจังหวะใกล้ๆ กัน รายนั้น ลูกนั้น เห็นว่า...จัดเป็นพายุ ระดับ 4 หรือระดับ อันตรายอย่างยิ่ง ชนิดรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปีเอาเลยถึงขั้นนั้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความหนักหน่วง หนักหนาสาหัส ต่อประเทศที่ได้ชื่อว่า ด้วยเหตุเพราะประเทศนี้มันมีกรรม-จึงได้ทรัมป์มาเป็นนายขายหน้าเอย อย่างประเทศสหรัฐอเมริกามากหรือน้อยขนาดไหน อันนี้...คงต้องคอยติดตามกันต่อไป ว่าระหว่าง ความเป็นไทย กับ ความอเมริกัน นั้น อะไรที่จะยังคงหลงเหลือสิ่งที่เรียกว่า น้ำใจ มาก-น้อยไปกว่ากัน...
------------------------------------------------
แต่โดยสรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าประเทศไหนต่อประเทศไหนนั่นแหละทั่น ช่วงหลังๆ นี้ ต่างก็เป็นอะไรที่ อยู่ยากซ์ซ์ซ์ หรืออยู่ลำบากไปด้วยกันทั้งสิ้น อันเนื่องมาจาก ธรรมชาติ ท่านกำลังกดดัน บีบบังคับ ให้เกิด การเปลี่ยนแปลง ในระดับลึกลงไปถึงรากเหง้า ถึงตัวตน อารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าระดับจิตสำนึก จิตใต้สำนึก ของบรรดามวลมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะสิงสถิตอยู่ในประเทศไหน สังคมไหนๆ ก็ตาม โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ซึ่งครอบคลุมกันในระดับทั่วทั้งโลก โดยไม่ต้องมีพรมแดน เส้นแบ่ง หรือเส้นสมมุติต่างๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือโดยอาศัย การกระทำ ของบรรดามวลมนุษย์ด้วยกันเอง เป็นตัวสนองตอบให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ในลักษณะไม่ต่างอะไรไปจาก กฎแห่งกรรม นั่นเอง จนส่งผลให้ไม่ว่าโลกเหนือ โลกใต้ โลกรวย โลกจน โลกพัฒนาแล้ว หรือกำลังพัฒนา ต่างตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมในลักษณะที่ว่า อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย...
--------------------------------------------------
ความพยายามที่จะ เอาชนะธรรมชาติ ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ด้วยอุปกรณ์เครื่องมือ-เครื่องไม้ ในรูปแบบต่างๆ หรือด้วยแผนพัฒนา เพื่อนำไปสู่ความยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ความทันสมัยในทางวัตถุให้ยิ่งๆ ขึ้นไป มาถึงทุกวันนี้...ต้องเรียกว่าจบแล้ว แพ้แล้ว!!! หรือคงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า ไม่น่าจะมีใคร หรือมีความก้าวหน้าใดๆ ที่จะเอาชนะธรรมชาติได้เลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อต้องเจอกับ การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่ว่าประเทศเหนือ ประเทศใต้ ประเทศรวย ประเทศจน ประเทศพัฒนาแล้ว หรือยังไม่ได้พัฒนา ล้วนแต่มีโอกาส เจ๊ง...กับ...เจ๊ง ไปด้วยกันทั้งสิ้น ต่อให้ประเทศอภิมหาอำนาจที่มีเงิน-มีทอง มีเครื่องมือ-เครื่องไม้ครบหมด ไม่ว่าอเมริกา จีน หรือรัสเซีย ก็เถอะ เจอเข้ากับความผันผวน ปรวนแปร ของสภาวะอากาศ ของภัยพิบัติธรรมชาติในแต่ละที มีแต่ เดี้ยง...กับ...เดี้ยง ไปด้วยกันทั้งนั้น...
----------------------------------------------------
การหันมาปรับสภาพตัวเอง ปรับแนวคิด ทัศนคติ ปรับกระบวนทัศน์ ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงการเมือง-การปกครองโน่นเลย เพื่อให้เกิดการ อยู่ร่วมกับธรรมชาติ ให้จงได้ จึงกลายเป็นวิถีทางแบบใหม่ ที่กำลังก่อรูป ก่อร่าง ขึ้นในอนาคตเบื้องหน้า ที่ไม่ว่าประเทศไหนต่อประเทศไหน ล้วนแล้วแต่มิอาจปฏิเสธได้ไปด้วยกันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับจะเร็ว หรือช้า เท่านั้นเอง เพราะนี่คือ โจทย์ ที่ ธรรมชาติ ท่านได้ตั้งเอาไว้ หรือเป็นสิ่งที่ท่านได้กดดันและบีบบังคับ ให้บรรดามวลมนุษย์ทั้งหลาย มีแต่ต้องก้าวเดินไปในวิถีทางที่ว่านี้ หรือเดินไปตาม ครรลอง-คลองธรรม อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย...
-------------------------------------------------------
สำหรับประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮานั้น...แม้ว่าไม่ค่อยอยากเดินตาม ธรรมชาติ มากมายซักเท่าไหร่ หันไปเดินตาม ฝรั่ง ซะเป็นหลัก คือประเภทอยากเป็นเสือตัวที่สี่ ตัวที่ห้า เป็นสารพัดสัตว์ อะไรประมาณนั้น แต่สุดท้าย...คงหนีไม่พ้นต้องย้อนกลับมาสู่เส้นทาง วิถีทางแห่งธรรมชาติกันจนได้นั่นแหละ และท่ามกลางการปรับตัว ปรับใจ กันในช่วงนี้ คงต้องถือเป็นเรื่องน่าปลาบปลื้ม น่ายินดี พอสมควร ที่ได้มีการป่าวประกาศให้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ที่เชื่อมต่อกับวนอุทยานห้วยขาแข้ง อันถือเป็น มรดกโลก แห่งหนึ่ง ที่ มีปัญหานานัปการ ไม่ว่าด้านการคมนาคม สาธารณสุข สาธารณูปโภค การศึกษา เศรษฐกิจ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชน ฯลฯ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการพัฒนาชุมชนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อให้เป็น ต้นแบบในการนำไปสู่การปฏิบัติการช่วยเหลือชุมชนแห่งอื่นๆ การหาทางอยู่ร่วมกับธรรมชาติ การเดินไปตามครรลอง-คลองธรรม จึงน่าที่จะพอได้เห็น จุดเริ่มต้น ขึ้นมาบ้างรางๆ...
----------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Anon... Sorrow looks back, worry looks round, faith looks up.- ความทุกข์มองไปข้างหลัง ความวิตกกังวลมองไปรอบๆ ความหวังมองสู่เบื้องบน...
------------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |