คุ้นเคยกันดีในแวดวงสังคมและการกุศล โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากของ คุณสายสม วงศาสุลักษณ์ กรรมการและเลขานุการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ในวัย 62 ปี ที่ปัจจุบันเจ้าตัวยังเป็นประธาน 4 มูลนิธิที่เกี่ยวกับการระดมทุนและหารายได้เพื่อช่วยเหลือคนยากไร้ทุกเพศทุกวัย รวมถึงภารกิจในการลงพื้นที่ช่วยเหลือคนทุพลภาพในที่ทุรกันดาร จากภาวะโรคหลอดเลือดสมองแตกตีบตัน ในนามประธานอาสากาชาดไทย เพื่อส่งต่อผู้ป่วยที่เหลือช่วยตัวเองไม่ได้ให้กับสถานพยาบาลในพื้นที่ ทั้งนี้เพื่อได้รับการรักษาที่ทันท่วงที ที่สำคัญเจ้าตัวย้ำชัดว่า ทำงานเพื่อสังคมตลอดทั้ง 7 วัน เพราะคนที่ประสบความเดือนร้อนนั้นรอไม่ได้
ต้องขอบคุณการเลี้ยงดูจากคุณพ่อคุณแม่ ที่ปลูกฝังให้เจ้าตัวรู้จักเป็นผู้ให้ตั้งแต่ยังเด็ก โดยการมอบทุนช่วยเหลือเรื่องค่าขนมและอุปกรณ์การศึกษาให้กับน้องๆ และเพื่อนรุ่นพี่สมัยที่ยังเรียนหนังสือช่วงประถมและมัธยมศึกษาจากเงินสะสมของตัวเอง จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานเพื่อสังคมจนถึงทุกวันนี้ แม้ภารกิจด้านการทำงานที่ค่อนข้างหนัก แต่เจ้าตัวก็ไม่ลืมดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ
คุณสายสม วงศาสุลักษณ์ ประธานมูลนิธิร่วมน้ำใจต้านภัยเอดส์ บอกว่า “สำหรับการเลือกรับประทานอาหารนั้น จะไม่ค่อยเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะจะเลือกบริโภคอาหารที่ตัวเองชอบ ซึ่งเน้นเป็นอาหารที่ครบ 5 หมู่ มีผัก ผลไม้ร่วมด้วย เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าเจ้าตัวไม่มีโรคประจำตัวเรื้อรังอะไรที่ต้องระวังเรื่องอาหารเป็นพิเศษ สามารถรับประทานได้หมด เนื่องจากไม่ได้ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง อาทิ โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูงไม่มี ส่วนน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากชอบรับประทานขนมหวานและน้ำอัดลม
“การเลือกอาหารของพี่เน้นเป็นเมนูที่เราชอบ แต่ขอให้มีผักและผลไม้ร่วมด้วยในมื้ออาหารเท่านั้น เพราะพี่ไม่เป็นเบาหวาน ค่าน้ำตาลในเลือดก็ปกติอยู่ที่ระดับ 80 ไม่มีคอเลสเตอรอล ความดันโลหิตก็ปกติดี แต่ตอนนี้น้ำหนัก 95 กิโลกรัม เพราะชอบกินขนมหวานและดื่มน้ำอัดลมค่ะ แต่ทุกวันพี่จะดื่มน้ำค่อนข้างเยอะ เพราะเป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหวร่างกายทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา นั่นจึงทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานไปด้วยในตัว และก่อนอายุ 50 ปี หรือก่อนเข้าสู่วัยทองนั้น ลูกสาวที่เป็นเภสัชกรก็ให้กินวิตามิน 2-3 อย่างที่จำเป็นสำหรับคนวัยหมดประจำเดือนอย่าง แคลเซียม, วิตามินบี 2, วิตามินเลซิติน และน้ำมันตับปลา แล้วก็จะออกกำลังกายทุกวันด้วยการแกว่งแขน 20 นาที เพื่อป้องกันหัวไหล่ติด เนื่องจากน้ำหนักตัวของพี่ค่อนข้างเยอะ และชอบนอนตะแคง ซึ่งนั่นทำให้เกิดอาการหัวไหล่ติดได้
ส่วนการดูแลเรื่องจิตใจนั้น ก่อนนอนพี่จะลืมทุกอย่าง และไม่จำสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นมาเก็บไว้ เพราะนั่นถือว่าเป็นตะกอนที่ทำให้เกิดความเครียดและความกังวล นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้พี่มีความสุข คือการที่พี่ได้ทำงานการกุศล ได้ช่วยเหลือคนอื่น บางครั้งลูกๆ ก็จะมีเป็นห่วงเราบ้าง เพราะต้องลงพื้นที่ไปช่วยเหลือ ไปเยี่ยมเคสของผู้ป่วยที่เกิดภาวะโรคหลอดเลือดสมองซึ่งเกิดจากเส้นเลือดตีบแตก เนื่องจากเป็นประธานอาสากาชาดไทย ซึ่งบางครั้งผู้ป่วยมีแผลและอาศัยอยู่สิ่งแวดล้อมที่ไม่ค่อยสะอาด แต่พี่ชินแล้วค่ะ เพราะเราลงพื้นที่และช่วยเยียวยารักษาคนมาเยอะแล้ว และทุกครั้งเวลาที่เราได้ไปช่วยเขา แม้ว่าผู้ป่วยบางคนนั้นจะพูดไม่ได้ แต่เราเห็นแววตาที่ดีใจของเขา ไม่ว่าจะเป็นเด็กยากไร้ หรือคนที่ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ซึ่งเรารู้เลยว่าเขาอวยพรเรา และไม่อยากให้เราตาย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นพลังบวกที่เราได้รับจากการทำงานกุศล ทำให้เราแข็งแรงทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตค่ะ”
เกริ่นไปตอนต้นว่า คุณสายสม ทำงานช่วยเหลือสังคม ทั้งเป็น กรรมการและเลขานุการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และเป็นประธาน 4 มูลนิธิ เช่น ประธานมูลนิธิร่วมน้ำใจต้านภัยเอดส์ และเป็นผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ 48 พรรษา ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ประธานมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ในพระราชินูปถัมภ์, ประธานมูลนิธิสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี, ประธานมูลนิธิโรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ซึ่งเจ้าตัวทุ่มเทอย่างหนักมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา
“ตอนนี้พี่อายุ 62 ปีแล้ว ก็ยังทำงานหนักเหมือนเดิมค่ะ เนื่องจากเป็นประธาน 4 มูลนิธิ เรียกได้ว่าพี่ทำงาน 7 วันเลยไม่มีวันหยุด เพราะว่าคนที่ได้รับความเดือนร้อนนั้นก็ไม่เว้นวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ค่ะ ที่สำคัญพี่ทำงานทุกวันก็จริง แต่พี่มีความสุข และเวลาที่ลงพื้นที่ไปเยี่ยมเคสก็จะใช้เงินของตัวเอง และส่วนหนึ่งสามีก็ให้เงินและสนับสนุนการทำงานกุศลของพี่ค่ะ ตรงนี้มันก็เหมือนกับว่า เราได้ทำบุญทุกวัน ซึ่งหลายคนจะสงสัยพี่ทำบุญกับวัดน้อยมาก แต่พี่จะใช้เวลากับการลงพื้นที่เยี่ยมเคสค่ะ เวลาที่เราได้เห็นความลำบากของคนอื่น และเราสามารถช่วยเหลือเขาได้ เช่น คนที่ตกงานไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ เมื่อเราได้ลงไปช่วยเหลือเขา นอกจากทำให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เลี้ยงตัวเองได้ เขามีความสุขใจ พี่ก็สุขไปด้วยค่ะ ถือเป็นการได้ทำกุศลอย่างหนึ่ง และสิ่งเหล่านี้ก็ทำมาตลอด 30 ปีแล้วค่ะ”
ทำงานเพื่อสังคมและช่วยเหลือผู้ยากไร้มาหลายทศวรรษ ในส่วนเรื่องของครอบครัว โดยเฉพาะความเป็นห่วงและเป็นกังวลของบุตรสาวทั้ง 3 คนนั้น ประธานมูลนิธิร่วมน้ำใจต้านภัยเอดส์ บอกว่าไม่เป็นกังวล เนื่องจากลูกสาวทั้ง 3 คน มีหน้าที่การงานที่มั่นคงและเป็นเด็กดี
“สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือเด็กกำพร้า และเด็กด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกลใน จ.ลำพูน อย่างโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ 48 พรรษา ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ใครจะดูแล เพราะในแต่ละเดือนนั้นมีใช้ค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร และค่าจ้างครูอาจารย์และบุคลากร ประมาณ 1 ล้าน 2 แสนบาท-1 ล้าน 5 แสนบาท ตรงนี้ถ้าพี่ไม่อยู่แล้วใครจะดูแลต่อไป ก็คงเป็นห่วงเด็กๆ กลุ่มนี้ค่ะ”.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |