'อนุทิน'จวกเพี้ยน แห่กินฉี่รักษาโรค


เพิ่มเพื่อน    


    สาธารณสุขยี้ข่าวกินฉี่บำรุงสุขภาพ "อนุทิน" จวกเพี้ยนกันไปใหญ่ ไม่อยากชี้แจงอะไร เสียเวลา "สาธิต" เตือนผู้หลงเชื่ออาจส่งผลร้ายต่อร่างกาย ชี้ไม่มีงานวิจัยทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือรองรับ ด้านข่าวครูให้ นร.กินปัสสาวะแก้ไข้ ผู้ว่าฯ สั่งสอบรู้ผลใน 7 วัน
    นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมนี้ ถึงกระแสข่าวบุคคลกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อดื่มน้ำปัสสาวะเป็นประจำแล้วสุขภาพดีขึ้น ว่าการใช้น้ำปัสสาวะบำบัดไม่มีงานวิจัยทางการแพทย์และคลินิกที่น่าเชื่อถือรองรับ ซึ่งหากนำมาใช้โดยไม่ระวังอาจเกิดอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งปัจจุบันวิทยาการและเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ประชาชนจึงมีทางเลือกในการรักษาโรคหลากหลายช่องทาง ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์ทางเลือก ดังนั้นจึงควรตัดสินใจอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพการรักษาเป็นสำคัญ 
    รมช.สาธารณสุขกล่าวว่า อยากให้ประชาชนเข้ารับการรักษาอาการเจ็บป่วยหรือปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในโรงพยาบาลในพื้นที่ เพราะการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นวิธีการรักษาโรคที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพมากกว่าทางเลือกอื่น อย่างไรก็ตาม วิธีรักษาโรคที่ดีที่สุดคือการดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด ไขมันสูง กินผักและผลไม้ให้มาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ตรวจสุขภาพประจำปี ในกรณีหากพบความผิดปกติของร่างกาย ต้องรีบพบแพทย์ใกล้บ้านและรักษาและปฏิบัติตัวภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า น้ำปัสสาวะเป็นของเสียหรือสารที่เป็นส่วนเกินของร่างกายที่ไตขับออกมา แม้ว่าจะมีสารต่างๆ อยู่มาก ทั้งยูเรีย เกลือแร่ แคลเซียม และโซเดียมคลอไรด์ รวมถึงสารอื่นๆ แต่สารเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกินความต้องการของร่างกาย หากสะสมไว้มากเกินไปกลับจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น เกิดภาวะความดันโลหิตสูง น้ำท่วมปอด หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น ร่างกายจึงขับทิ้งตามระบบ ดังนั้นหากดื่มกลับเข้าไปซ้ำอีกจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เพิ่มขึ้น แต่ในทางกลับกันอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย 
    นอกจากนี้ น้ำปัสสาวะที่ขับออกมายังอาจปนเปื้อนอุจจาระ ทำให้มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ อย่างเชื้อบิด อาจติดต่อไปยังผู้อื่นที่นำน้ำปัสสาวะนั้นมาดื่ม นอกจากนี้ ไต ซึ่งทำหน้าที่กลั่นกรองของเสียออกจากร่างกาย ต้องทำงานหนักมากขึ้น เพราะต้องขับของเสียออกซ้ำ และอาจเกิดการคั่งค้างของสารต่างๆ ในร่างกาย ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา โดยเฉพาะผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคไต โรคตับ โรคหัวใจ หรือโรคที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำ แร่ธาตุ และสารอาหารให้เหมาะสม อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
    ขณะที่นายอนุทิน​ ชาญ​วี​รกูล​ รองนายกรัฐมนตรี​และ ​รมว.สาธารณสุข​ กล่าวถึงกระแสการดื่มปัสสาวะ​ โดยมีการอ้างสรรพคุณ​เป็นยาวิเศษ สามารถรักษาโรคได้​ว่า​ คนเรากินปัสสาวะ​ไม่ได้​ และไม่ต้องชี้แจงอะไร​ เสียเวลา​ 
    "ต้องไม่กิน​ เพราะปัสสาวะกินไม่ได้​ เพี้ยนกันไปหมด​ ปัสสาวะ​อุจจาระกินไม่ได้ทั้งนั้น​"
    ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลจะทำความเข้าใจหรือไม่ เพราะ​ขณะนี้สังคมกำลังเข้าใจผิด​ และกรณีดังกล่าวถือเป็นเฟคนิวส์ (ข่าวลวง)​ นายอนุทินกล่าวว่า​ จะเผยแพร่อย่างไร จะให้กระทรวงสาธารณสุข​ออกประกาศ​ขอให้ประชาชนอย่าบริโภค​ปัสสาวะ ​อุจจาระ​ จะทำได้อย่างไร​ เมื่อถามย้ำว่า​ประเด็นดังกล่าวร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ​ นายอนุทินกล่าวว่า​ ก็แล้วแต่​
    ที่จังหวัดขอนแก่น หลังมีข่าวนางรุจิรา ธนะชัย ครูชำนาญการโรงเรียนบ้านโจดหนองแกหนองสิม อ.พล นำน้ำปัสสาวะอ้างว่าเป็นน้ำมนต์จากวัด ให้เด็กนักเรียนที่มีอาการไข้ดื่มกิน และโพสต์ลงเฟซบุ๊กในกลุ่มปิด แต่มีข้อความหลุดออกมาจนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียล และเมื่อวันจันทร์ นายสนอง สุดสะอาด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 ได้เรียกนางรุจิรา ครูสอนชั้น ป.3 เข้าชี้แจง พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งในเบื้องต้นนางรุจิราชี้แจงว่า ได้เรียนรู้เรื่องสมุนไพร และการทำสมุนไพรกลั่นจากชมรมแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย จึงทำน้ำสมุนไพรกลั่นขึ้นมาดื่มเอง และให้นักเรียนดื่มจริง แต่ยืนยันไม่มีปัสสาวะปนดังที่เป็นข่าว
    นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว และมอบหมายให้ สพป.ขอนแก่น เขต 3 ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับนายอำเภอพล แล้วรายงานผลภายใน 7 วัน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"