ข่าวคราวเรื่อง การดูด ที่ทำท่าว่ากำลังหวนกลับมาสร้างสีสันบรรยากาศให้แวดวงการเมืองขึ้นมาใหม่อีกครั้ง...ไม่ว่า ดูดเจ๊มิ่ง ดูดตี๋ใหญ่ ดูดครูมานิตย์ ฯลฯ หรือใครต่อใครก็แล้วแต่ ชนิดว่ากันว่า กะจะดูดให้ครบ 270 เสียงให้จงได้ แม้ออกจะเป็นอะไรที่น่าพะอืดพะอม น่าเกลี๊ยด-น่าเกลียดอยู่พอสมควร แต่คงไม่ถึงกับ น่ากลัว น่าอันตราย เท่ากับ การกระตุก ที่ออกจะซอยยิกๆ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
-------------------------------------------
คือ การดูด นั้น...ถ้าหากไม่ได้เป็นไปด้วยความยินยอมพร้อมใจซะอย่างแล้ว มันคงดูดลำบาก!!! เผลอๆ...ยังไม่ทันได้อ้าก็อาจถูกยันเปรี้ยงเอาง่ายๆ หรือถ้าผู้คิดจะดูด ไม่ได้มีความเย้ายวนใจ ไม่ได้มีเสน่ห์ อันพอช่วยให้เกิดความหลงใหล หนักไปทางน่าเกลียด น่าทุเรศ ประมาณ กะเทยควาย อะไรทำนองนั้น ไม่ว่าจะ เจ๊มิ่ง ตี๋ใหญ่ หรือ ครูมานิตย์ ท่านคงไม่คิดรูดซิปเอาง่ายๆ อีกทั้งในแง่ ข้อเท็จจริงทางการเมือง ที่มันเป็นตัวบังคับ ว่ารัฐบาลที่มีเสียงแค่ระดับ ปริ่มน้ำ นั้น คงอยู่ยากซ์ซ์ซ์เอามากๆ การหันไปใช้วิธี ดูด จึงต้องถือเป็นกลยุทธ์ชนิดหนึ่ง ที่อาจพอหลับตาไว้ซะหนึ่งข้าง ถือเป็น ธรรมชาติทางการเมือง ก็แล้วกัน...
---------------------------------------------
แต่สำหรับ การกระตุก นี่สิ...ที่มันอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับ การเมือง โดยตรง แต่หนักไปทาง เศรษฐกิจ ซะเป็นหลัก การกระตุกแล้วกระตุกอีก กระตุกมาโดยตลอด 5 ปี 6 ปี และท้ายที่สุด...ก็ยังหนีไม่พ้นต้องหันมากระตุกกันอีกจนได้ อันเนื่องมาจากภาวะ เศรษฐกิจโลก ที่มันไม่รู้เห็น เป็นใจ เกิดความฉิบหาย วายวอด แผ่ซ่านไปในทุกๆ ด้าน แม้การหันมา กระตุก กันใหม่ อาจถือเป็นความจำเป็น อันมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แต่ระหว่างที่กระทอกไป-กระทอกมานั้น คงต้องเพิ่มความละเอียด รอบคอบ ความประณีต นุ่มนวล เอาไว้มั่ง ไม่ใช่ตราบใดที่ยังไม่เมื่อยแขน-เมื่อยขา ก็พร้อมที่จะสาวต่อไปเรื่อยๆ...
---------------------------------------------
อย่างการกระตุกด้วยวิธีไล่แจกเงินพวกเด็กๆ ให้เอาไปเที่ยว ไปกินแหลก-ใช้แหลก ใน เมืองรอง อะไรต่อมิอะไรทั้งหลายนั้น ก็เอาเถอะ...ถ้าหากโดยข้อมูล ข้อเท็จจริง มันบังคับให้ต้องเป็นไปในแนวนั้น แต่สำหรับการกระตุกด้วยวิธีเปิดประเทศทั้งประเทศเพื่อ แบรับ นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ประเทศที่มีประชากรรวมๆ แล้วเกือบครึ่งโลก อย่างที่เรียกๆ กันว่า ฟรีวีซ่า อันนี้...ยังไงๆ คงต้องหยิบเอาความคิด ความเห็น ของรัฐมนตรีต่างประเทศ ดอน ปรมัตถ์วินัย และรองนายกรัฐมนตรี บิ๊กป้อม ที่ออกจะ ไม่เห็นควรด้วย กับกรรมวิธีชนิดนี้มากมายซักเท่าไหร่ มาใคร่ครวญ พินิจพิจารณา กันโดยละเอียด...
-----------------------------------------------
คือแม้ว่ามันจะก่อให้เกิดรายได้ จำนวนมากมายมหาศาลเพียงใดก็ตามที หรือแม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปในแง่ดี เป็นไปแบบ โลกสวย อย่างที่ท่านประธานสมาคมนักธุรกิจ ไทย-อินเดีย คุณ สาธิต เซกัล ผู้ซึ่งมีความรักชาติ รักแผ่นดินไทย อย่างชนิดไม่มีใครคิดติดใจสงสัยอยู่แล้วแน่ๆ ท่านได้ให้ความคิด ความเห็นเอาไว้ แต่ก็นั่นแหละ...เรื่องของ ความมั่นคง นั้น มันออกจะเป็นอะไรที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ชนิดแค่มองกัน 2 ชั้น 3 ชั้น ก็ยังไม่พอ ต้องมองกันระดับ 8 ชั้น 10 ชั้น เอาเลยก็ไม่แน่ ต่างไปจากเรื่อง เศรษฐกิจ หรือเรื่องเงินๆ-ทองๆ ที่อาจไม่ถึงกับต้องคิดมาก หรือคิดเล็ก-คิดน้อย มากมายซักเท่าไหร่ ประเภทเห็นอะไรที่ได้มาซึ่งเงินๆ-ทองๆ ก็พร้อมที่จะ กระตุก กันโดยทันที...
-----------------------------------------------------
แม้ว่านักท่องเที่ยวอินตะระเดียยุคนี้ หรือนักท่องเที่ยวชาวจีนยุคนี้...จะต่างไปจากอดีตแบบคนละเรื่อง-คนละม้วน หรือต่างมีเงิน-มีทอง มีศักยภาพในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว อันเป็นรายได้หลักของประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮามานานแล้ว แต่ในเรื่องของ ความมั่นคง นั้น...มันคงไม่ได้เกี่ยวกับการขายถั่ว ขายโรตี ของชาวอินตะระเดียอะไรต่อมิอะไรเท่านั้น หรือคงไม่ได้เกี่ยวกับการที่นักท่องเที่ยวชาวจีน จะมา ขี้ ใส่วัดร่องขุ่น ของอาจารย์ เฉลิมชัย แต่เพียงอย่างเดียว มันยังมี มิติ อื่นๆ ประกอบเข้าไว้ด้วยอีกเยอะแยะมากมาย...
--------------------------------------------------------
การอนุญาตให้บรรดานักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวอินเดีย สามารถเข้ามาพำนักในประเทศไทยในระยะไม่เกิน 30 วัน โดยไม่จำเป็นต้องมี วีซ่า ใดๆ เลยนั้น แม้จะก่อให้เกิด ผลได้ ในเรื่องเงินๆ-ทองๆ อยู่ตามสมควร แต่คงหนีไม่พ้นต้องคำนึงถึง ผลเสีย เอาไว้ด้วย เพราะไม่มี รายได้ ที่ไหน ที่จะได้มาโดยไม่ต้องสูญเสีย รายจ่าย หรือทุกสิ่งทุกอย่างย่อมไม่มี ของฟรี อยู่แล้วแน่ๆ การตั้งข้อสมมติฐาน ข้อสังเกต ของกระทรวงต่างประเทศ ในหนังสือซึ่งนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ จึงต้องหยิบมาใคร่ครวญ พิจารณา กันโดยละเอียด ยิ่งถ้าหากนำเอาผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบด้านความมั่นคงโดยตรง อย่าง ทหาร เข้ามาร่วมให้การพิจารณาควบคู่ไปด้วยแล้ว ยิ่งน่าจะช่วยให้เกิดความละเอียด รอบคอบ และความรัดกุมยิ่งขึ้นไปใหญ่...
---------------------------------------------------------
คือภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงนี้...จะไป หน้ามืด คิดแต่เฉพาะเรื่องเงิน-เรื่องทองเพียงอย่างเดียว มันคงไม่ถึงกับถูกเรื่องกันซักเท่าไหร่นัก อย่างน้อย...ก็อย่าลืมนึกถึง ความมีเหตุมีผล-ความพอเพียง-พอประมาณ อันถือเป็นแก่นสาระสำคัญของ คาถาศักดิ์สิทธิ์ ตามแนวทาง “เศรษฐกิจพอเพียง นั่นแล อะไรที่มันขัดแย้งกับแนวทางที่ว่านี้ ไม่ว่าจะในระยะสั้น หรือระยะยาวก็แล้วแต่ พึงต้องถือเป็นสิ่งที่ น่ากลัว น่าอันตราย ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก W. Summerset Maugham (อีกครั้ง)... If a nation values anything more than freedom, it will lose its freedom, and the irony of it is that if it is comfort or money that it values more, it will lose that too.- ชาติใดให้ความสำคัญแก่สิ่งอื่นมากกว่าอิสรภาพ ชาตินั้นจะสูญเสียอิสรภาพ และที่น่าหัวร่อก็คือ หากชาตินั้นให้ความสำคัญแก่ความสุขสบาย เงิน-ทอง มากกว่าอิสรภาพ ชาตินั้น...ก็จะสูญเสียทั้งความสุขสบาย เงิน-ทอง รวมทั้งอิสรภาพตามไปด้วย...
------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |