22 ส.ค.62 - ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง พล.ต.ต.นุกูล ไกรทอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง พ.ต.อ.สันทัด วินสน รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง พ.อ. อุทิศ อนันตนานนท์ รอง ผบ.พล.ร.5 และ พ.อ.พีระพงศ์ วัลลภาทิตย์ ผบ.ร.15 พัน 4 ร่วมกันแถลงผลการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญเนื่องจากเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทหารชุดจับกุมยาเสพติด ร้อย ร.2521 กรมทหารราบที่ 25 กองกำลังเทพสตรี ได้ทำการจับกุมนายแอ็ด มาโนชย์ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 134/2 หมู่ 2 ต.นาคา อ.สุขสำราญ จ.ระนอง ได้ที่ด่านตรวจความมั่นคง ถ.พะโต๊ะ-ระนอง ต.พะโต๊ะ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร  พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 2,000 เม็ด

ต่อมา เจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด ชปส.ภ.จว.ตรัง ได้ร่วมกันสืบสวนขยายผลติดตามจับกุมจากนายแอ็ด จนสามารถจับกุมนายมาโนชย์ แก้วสุข อายุ 30 ปี นายมาโนชญ์ แก้วสุข อายุ 30 ปี ม.6 ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส และนายกัมปนาท แก้วสุข อายุ 29 ปี ที่อยู่ 31/6 ม.7 ต.ท่าช้าง อ.บางคล่ำ จ.สงขลา ได้ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 600,000 เม็ด ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาซุกซ่อนไว้ในรถยนต์กะบะ หมายเลขทะเบียน ป้ายแดง ว -8218 กทม. เพื่อนำส่งนักค้ายาในพื้นที่จังหวัดสงขลา

จากการสอบถาม พ.ต.ต.นุกูล ไกรทอง ผบก.จว.ตรัง กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ตั้งด่านความมั่นคงในพื้นที่ จ.ชุมพร และสามารถจับกุมนายแอ็ด จากการตรวจค้นพบยาบ้าจำนวน 2,000 เม็ด จากนั้นได้สอบสวนสืบสวนจนทราบว่า นายเเอ็ดกำลังจะเดินทางไปร่วมขนยาบ้าเพื่อส่งไปยังจังหวัดสงขลา โดยได้นัดพบกันที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในตำบลเขากอบ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง โดยมีผู้ต้องหาจำนวน 2 คน นายมาโนชย์และนายกัปนาท รออยู่ในรีสอร์ทดังกล่าว และมีของกลางเป็นยาบ้าจำนวน 600,000 เม็ด อยู่ภายในรถกะบะของนายนาโนชย์ และนายกัปนาท ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมนายกัปนาท และ นายมาโนชย์ ได้ที่รีสอร์ทดังกล่าว พร้อมของกลางยาบ้า 600,000 เม็ด บรรจุในกระสอบจำนวน 20 มัด

จากการสอบถามทราบว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกันซึ่งได้รับใบสั่งให้ไปรับยาบ้าในพื้นที่อำเภอวังวิเศษ และไปเปิดห้องพักเพื่อรอนายแอ็ดเป็นผู้ขับรถนำ เพื่อขนส่งยาบ้าไปให้กับนักค้ายาในพื้นที่จังหวัดสงขลา หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดของกลางคือ ยาบ้าจำนวน 600,000 เม็ด รถยนต์กะบะยี่ห้ออีซูซุ ป้ายแดง ว-8218 กทม. จำนวน 1 คัน ราคาประมาณ 500,000 บาท และโทรศัพท์มือถือจำนวน 3 เครื่อง โดยมูลค่าของยาบ้านในครั้งนี้มูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท