BEM ยืนกรานขยายสัมปทานทางด่วนจบข้อพิพาทค่าโง่ ย้ำรัฐได้ประโยชน์


เพิ่มเพื่อน    

15 ส.ค. 2562 นายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล กรรมการบริหาร บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่าข้อพิพาทค่าชดเชยทางด่วนมูลค่า 100,000 ล้านบาทนั้นเกิดกรณีการทางพิเศษ(กทพ.)ไม่ปรับค่าผ่านทางให้ตามสัญญาและไม่มีการเยียวยากรณีสร้างทางแข่งขันดอนเมืองโทลล์เวย์ ดังนั้นจึงเกิดข้อพิพาทกันตั้งแต่ชั้นอนุญาโตตุลาการไปจนถึงชั้นศาลสูงสุด ซึ่งปัจจุบันถือว่าการเจรจาคืบหน้าไปมากแล้ว ถือว่าได้ข้อสรุปครบแล้วเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) 

อย่างไรก็ตามซึ่งทางออกที่มีขณะนี้เชื่อว่าดีที่สุดสำหรับฝ่ายรัฐบาล ประชาชนไม่เสียประโยชน์ แม้ว่าฝ่ายเอกชนเองจะเสียประโยชน์ไปบ้างแต่ก็ถือว่าทำเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน ค่อนข้างมั่นใจว่ารัฐบาลใหม่จะไม่เปลี่ยนเงื่อนไขการเจรจาที่มีมาตลอด 1 ปี เนื่องจากหากจะต่อสู้คดีต่อไปนั้นกทพ.อาจต้องชดเชยค่าเสียหายมากถึง 326,000 ล้านบาทแบ่งเป็นกรณีข้อพิพาทการแข่งขัน 210,000 ล้านบาท และข้อพิพาทเรื่องปรับค่าผ่านทาง 116,000 ล้านบาท ทว่าข้อสรุปที่ตกลงกันได้นั้นคิดเป็นมูลหนี้เพียง 58,873 ล้านบาท ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลหนี้ที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นในอนาคต

นายพงษ์สฤษดิ์ กล่าวต่อว่าสำหรับเงื่อนไขการเจรจาเพื่อจบข้อพิพาททั้งหมดนั้นคือการต่อขยายสัมปทานทางด่วน 3 เส้นทางไปอีก 30 ปี พร้อมกับเอกชนลงทุนก่อสร้างทางด่วนขั้นที่ 2 (Double Deck) และทางหลีก Bypass วงเงินลงทุนรวม32,000 ล้านบาท แบ่งเป็น สัญญาที่ 1 คือ การยกเลิกข้อพิพาททั้งหมดพร้อมต่อขยายสัมปทาน 15 ปี โดยหมดอายุสัมปทานทุกเส้นทางพร้อมกันที่ 31 ต.ค. 2578 และต้องแบ่งรายได้ให้กทพ.ไม่น้อยกว่าเดิมคือ 60% ของรายได้ทั้งหมดพร้อมกับเงื่อนไขปรับค่าผ่านทางได้ทุก 10 ปี สัญญาที่ 2 คือต่อขยายสัมปทานเพิ่มอีก 15 ปีพร้อมลงทุนก่อสร้าง Double Deck ก่อสร้าง ByPass ก่อสร้างจุดขึ้น-ลงที่สถานีกลางบางซื่อ และก่อสร้างด่านเก็บเงินเพิ่มอีก 2 จุดที่ด่านอโศกและด่านประชาชื่น

อย่างไรก็ตามจะลงนามสัญญาที่ 2 ได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุมติรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ภายใน 2 ปีหรือมากกว่านั้น ดังนั้นหากกทพ.พยายามจนสุดความสามารถแล้วยังไม่สามารถเสนอรายงาน EIA ให้ผ่านเพื่อก่อสร้างโครงการได้ก็จะถือให้ยึดการต่อสัมปทานในสัญญาที่ 1เป็นหลักหรือเท่ากับว่าข้อพิพาททั้งหมดจบลงแล้วเมื่อลงนามสัญญาที่ 1 ซึ่งเอกชนก็ยินดีแต่ก็เชื่อว่ากทพ.จะสามารถผลักดันเรื่อง EIA ให้ผ่านได้ เนื่องจากการจราจรบนทางด่วนทุกวันนี้เกิดปัญหารถติดเป็นอย่างมากดังนั้นรัฐบาลผู้เป็นเจ้าของโครงการจึงต้องพัฒนาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน ทั้งนี้ปัจจุบัน BEM มีรายได้จากการเก็บค่าทางด่วนปีละ 7,000-8,000 ล้านบาทด้วยอัตราการเติบโตรายได้เฉลี่ย 1-3% ต่อปี

นายพงษ์สฤษดิ์ กล่าวถึงนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ต้องการให้ลดค่าทางด่วน 5-10 บาทว่าสำหรับนโยบายดังกล่าวเห็นว่าเป็นเรื่องยากเพราะเป็นคนละเรื่องกับข้อพิพาทต้องมาเจรจากันอีก ทั้งนี้ที่ผ่านม BEM ก็ช่วยรัฐบาลสุดความสามารถแล้ว ถือว่าช่วยกันเยอะแล้วในเรื่องของข้อพิพาททางด่วนนี้ เพราะหากยึดตามมูลหนี้จริงรัฐบาลอาจเสียค่าชดเชยมากกว่า 300,000 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมการดำเนินงานในปีนี้นั้นมองว่าผลประกอบการทางด่วนยังคงเติบโตอยู่ที่ 1% รวมรายได้เฉพาะค่าทางด่วนทั้งปี 8,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินทั้งปีจะอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้รถไฟฟ้า 30% และทางด่วน 70% ดังนั้นในอนาคต 5 ปี ตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ให้เป็น 40% โดยมีปัจจัยหนุนจากการเปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย 
อย่างไรก็ตามการเปิดเดินรถส่วนต่อขยายเฟสแรกช่วงหัวลำโพง-หลักสองนั้นจะยังไม่รับรู้รายได้ในปีนี้เนื่องจากเปิดให้ใช่บริการฟรี ดังนั้นจะรับรายได้เพิ่มขึ้นชัดเจนในปีหน้าภายหลังจากเปิดเต็มเฟส ช่วง หัวลำโพง-หลักสองและท่าพระ-บางซื่อ ทำให้การรับรู้รายได้รถไฟฟ้าในปี 2563 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% หรือรวมรายได้ตลอดปีมากกว่า 3,300 บาท โดยมีประมาณการผู้โดยสารราว 500,000 คนต่อวัน


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"