"บิ๊กแดง" ให้สัมภาษณ์สื่อนอก ยันระเบิดกรุงเหมือนสงครามลูกผสม มีเป้าหมายทำลายรัฐบาลพลเรือนภายใต้การนำของ "บิ๊กตู่" ลั่นจะไม่มีการก่อรัฐประหารยึดอำนาจ ตราบใดที่ยังอยู่ในตำแหน่งนี้ จะไม่ปล่อยให้กองทัพล้ำเส้น "ธนาธร" อ้างระเบิดทำประเทศอึมครึมมองไม่เห็นอนาคต
เว็บไซต์ของสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2562 หรือราว 1 สัปดาห์ภายหลังเหตุการณ์ระเบิดป่วนกรุงเทพมหานคร ระหว่างที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาเซียนและประเทศคู่ความร่วมมือ โดย ผบ.ทบ.กล่าวถึงการวางระเบิดครั้งนี้ว่า มีเป้าหมายเพื่อบ่อนทำลายรัฐบาลพลเรือนภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พล.อ.อภิรัชต์บอกกับรอยเตอร์ว่า สิ่งที่กองทัพกำลังต่อสู้อยู่ในปัจจุบันนี้เทียบได้กับการต่อสู้กับกบฏคอมมิวนิสต์ในทศวรรษ 1970-1980 โดยสิ่งที่ท้าทายในขณะนี้คือการโฆษณาชวนเชื่อทางอินเทอร์เน็ต
"ภัยคุกคามขณะนี้ก็คือข่าวปลอม" ผู้บัญชาการทหารบกของไทยกล่าวถึงปัญหาที่กำลังเกิดกับหลายประเทศทั่วโลก และผู้นำอย่างเช่นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มักกล่าวโทษเสมอ "มันเหมือนกับสงครามไซเบอร์ และเมื่อรวมมันกับเหตุการณ์ (ระเบิด) ที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็เหมือนกับสงครามลูกผสม"
พล.อ.อภิรัชต์กล่าวว่า ข้าศึกที่กองทัพต่อสู้ขณะนี้ไม่ใช่ศัตรูเปิดเผยเหมือนแต่ก่อนแล้ว กองทัพจึงต้องจัดระเบียบองค์กรใหม่ และปรับปรุงความรู้ จัดระเบียบองค์กรและหน่วยต่างๆ เพื่อรักษาสันติสุขและความมั่นคงของชาติ
ผู้บัญชาการทหารบกปฏิเสธจะระบุกับรอยเตอร์ว่าใครอยู่เบื้องหลังการวางระเบิดป่วนกรุง หรือการโฆษณาชวนเชื่อ แต่เขาอ้างถึงบางพรรคการเมืองที่ไม่ระบุ ซึ่งเพิ่งก่อตั้งไม่เกิน 2 ปี และมีแนวนโยบายโฆษณาชวนเชื่อตรงถึงกลุ่มคนที่มีอายุ 16-17 ปี "พรรคเหล่านี้ให้ความรู้กับคนกลุ่มนี้ด้วยข่าวปลอม"
พล.อ.อภิรัชต์ยังกล่าวถึงบทบาทของกองทัพกับการเมืองด้วยว่า กองทัพภายใต้การบัญชาการของเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และจะไม่มีการก่อรัฐประหารยึดอำนาจ
ไม่ปล่อยให้ล้ำเส้น
"ตราบใดที่ผมยังอยู่ในตำแหน่งนี้ ผมจะไม่ปล่อยให้กองทัพล้ำเส้น" ผู้บัญชาการทหารบกซึ่งเป็นบุตรชายของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ผู้นำการก่อรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อปี 2534 กล่าว "หลังการเลือกตั้ง กองทัพต้องถอย"
ผู้บัญชาการทหารบกย้ำด้วยว่า กองทัพมีบทบาทหน้าที่เฝ้าตรวจโฆษณาชวนเชื่อที่ต่อต้านรัฐไทย รวมถึงสถาบันกษัตริย์ แต่การดำเนินการกับผู้กระทำผิดนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และตอนนี้กองทัพกับรัฐบาลแยกกันทำงานแล้ว
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แสดงความเห็นผ่านโพสต์เฟซบุ๊ก เนื้อหาระบุว่า ก่อนจะสายเกินไป เพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็มของรัฐบาลคุณประยุทธ์ 2 ประเทศไทยตกอยู่ในความอึมครึม ไม่มีใครมองเห็นอนาคตที่สดใส ผิดกับบรรยากาศและความคาดหวังของประชาชนทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งโดยสิ้นเชิง
ระเบิดหลายจุดกลางกรุงเทพฯ ที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล, ปัญหาเกี่ยวกับการถวายสัตย์ฯ ที่ไม่เป็นตามรัฐธรรมนูญ จนหลายคนคาดว่านายกรัฐมนตรีอาจจะลาออกตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงาน, พรรคเล็กประกาศออกจากการร่วมรัฐบาล ซึ่งทำให้เสียงฝ่ายรัฐบาลและเสียงฝ่ายค้านใกล้เคียงกัน รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำมีแนวโน้มที่จะไร้เสถียรภาพและไม่สามารถผลักดันกฎหมายที่เป็นนโยบายของรัฐบาลได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำลายความหวังถึงชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่น้อยนิด
ในระหว่างความอึมครึมที่มองไม่เห็นอนาคตดังกล่าว รัฐบาลพยายามทำให้ประชาชนเชื่อว่า อย่าเพิ่งสนใจปัญหาการเมือง เพราะเราต้องแก้ปัญหาปากท้องก่อน
อย่างไรก็ดี หากเราไม่หลงลืมข้อเท็จจริง เราจะมองเห็นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นลักษณะนี้มีต้นตอมาจากปัญหาการเมือง มาจากรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 ตามที่หลายฝ่ายได้เคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว
รัฐธรรมนูญนี้ออกแบบมาให้มีพรรคการเมืองขนาดเล็กจำนวนมาก เกิดรัฐบาลผสมหลายพรรค ฝ่ายบริหารไม่มีความเข้มแข็ง ความยุ่งยากในการบริหารพรรคเล็กจำนวนมากและหลากหลายอุดมการณ์ที่รัฐบาลเผชิญอยู่นั้น คือผลของกติกาที่ตัวเองออกแบบมาเอง ซึ่งเมื่อรัฐบาลไร้เสถียรภาพ การผลักดันนโยบายและการปฏิรูปที่สำคัญจึงเป็นไปไม่ได้
เป็นแค่คำลวง
การตัดสินใจใช้สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบไม่สมเหตุสมผลของคณะกรรมการการเลือกตั้งซ้ำเติมสถานการณ์ขึ้นไปอีก การตัดสินใจดังกล่าวทำให้พรรคการเมืองที่ต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช. ที่ควรรวมเสียงได้มากกว่ากึ่งหนึ่งของสภา มีโอกาสรวมเสียงได้มากกว่ารัฐบาลชุดนี้ และมีความชอบธรรมที่จะเป็นฝ่ายรัฐบาล กลายเป็นฝ่ายค้านอย่างฉิวเฉียด ค้านสายตาประชาชน
การตัดสินใจดังกล่าวของ กกต. มีส่วนทำให้สังคมไทยเดินมาสู่ความอึมครึมที่ไม่เห็นอนาคตอย่างที่เป็นอยู่
ภายใต้ภาวการณ์การเมืองเช่นนี้ การ “แก้ปัญหาปากท้องก่อนแก้ปัญหาการเมือง จึงเป็นไปไม่ได้ และเป็นแค่คำลวง เพราะการพัฒนาเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง, มีคุณภาพ และยั่งยืน ไม่สามารถเกิดได้เลยใต้สภาพการเมืองปัจจุบัน
หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่บอกว่า ข้อเสนอของพรรคอนาคตใหม่คือ เราจำเป็นต้องเริ่มต้นปรึกษาหารือกันเพื่อสร้างกฎกติกาการเมืองใหม่ที่ทุกฝักฝ่าย ทุกทัศนคติทางการเมือง สามารถอยู่ร่วมกันได้และตอบสนองความต้องการร่วมของสังคมได้ เราจำเป็นต้องร่วมกันแสวงหาระบบสังคมการเมืองที่มีฐานความชอบธรรมทางประชาธิปไตย, สะท้อนอำนาจและเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง, ก่อให้เกิดรัฐบาลและรัฐสภาที่มีประสิทธิภาพ, พร้อมกับมีระบบการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจตามหลักนิติรัฐ ถ้าสังคมไทยมีระบบสังคมการเมืองที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันแล้ว การเอาชนะคะคานกันอย่างเอาเป็นเอาตายจะไม่เกิดขึ้น และนั่นจะเปิดทางให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างจริงจังและอย่างสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน
เรา - พรรคอนาคตใหม่ - เชื่อว่าระบบการเมืองที่ดีจะนำมาซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมที่ดี ด้วยการสร้างกฎกติกาการเมืองใหม่เท่านั้นที่จะสร้างพื้นฐานให้สังคมไทยก้าวเดินไปข้างหน้าได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพรรคอนาคตใหม่จึงเริ่มรณรงค์ให้เกิดการสร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากประชาชน, โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
นายธนาธรระบุว่า การมีรัฐธรรมนูญใหม่ที่ทุกฝ่ายยอมรับ คือการปลดล็อกประเทศให้เดินไปข้างหน้าได้ และนี่ไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ทางรอด” ทางเดียวที่เหลืออยู่ ก่อนที่ความอึมครึมจะกลายเป็นความตึงเครียดทางสังคมที่สูงกว่านี้ ก่อนที่ระเบิดเวลาที่ฝังอยู่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 จะระเบิด ก่อนที่ประเทศชาติจะล้มเหลวและล้าหลังไปมากกว่านี้ ก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งใหญ่จนมีคนบาดเจ็บล้มตาย ก่อนจะสายเกินไป
ที่ห้องประชุมประกอบ หุตะสิงห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พรรคโดมปฏิวัติ ร่วมกับคณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ (คปอ.) จัดเสวนาวิชาการเนื่องในโอกาส 3 ปี ประชามติรัฐธรรมนูญ หัวข้อ “3 ปี ประชามติ ได้อะไร เสียอะไร เอาไงต่อ”
ฝ่ายค้านจะแก้รัฐธรรมนูญ
นายโภคิน พลกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวตอนหนึ่งว่า กฎหมายเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้าง ถ้าเห็นว่าไม่ดีก็แก้ไข ยิ่งเรารู้ว่าผิดยิ่งอยู่สูงเป็นนายกรัฐมนตรี ยิ่งต้องรีบแก้ปัญหา วันนี้เรากำลังหลงกับวังวนกฎเกณฑ์สูงสุดที่ไม่ได้ตอบโจทย์ให้กับสังคมไทยทั้งประเทศ แต่ตอบโจทย์คนแค่บางกลุ่ม ดังนั้น รัฐธรรมนูญที่จะทำต่อไปข้างหน้า ต้องทำให้ภาคประชาชนโตโดยที่ไม่ใช่เป็นขอทาน หากเขียนรัฐธรรมนูญให้ตายแต่ไม่สร้างให้ภาคประชาชนโต อย่าหวังว่าประเทศจะเดินไปได้ เราต้องเขียนเนื้อหาของรัฐธรรมนูญใหม่ แต่สำคัญกว่าคือกระบวนการต้องถูกต้องชอบธรรม
เขากล่าวว่า เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญจะต่อว่าฝ่ายค้านไม่ได้ เพราะตอนหาเสียงทุกพรรคพูดเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งใช้ช่องทางของรัฐสภาโดยไม่กระทบต่อการบริหารประเทศของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม วันนี้การที่ฝ่ายค้านเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญจะง่ายกว่ารัฐบาลเสนอ เพราะเสียงในสภาของรัฐบาลเฉพาะ ส.ส.มีเสียงไม่ถึงครึ่ง แต่ตนขอเชิญชวนทั้ง ส.ส.และ ส.ว.มาร่วมกันแก้ปัญหาประเทศ โดยให้ประชาชนร่วมกันคิดแล้วสภานำมาปฏิบัติ ตนคิดว่าวิธีนี้จะทำให้ประเทศเดินไปได้
“เหตุที่ไม่ได้พิจารณาประเด็นประชาชน 5 หมื่นคนเข้าชื่อยื่นต่อสภา เพราะจะเสียเวลาในขั้นตอนการตรวจสอบรายชื่อประชาชน บางครั้งใช้เวลานานถึง 2ปี และอาจไม่ได้รับการพิจารณา แต่การมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) วิธีการคือแก้มาตราที่เกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยใช้เวลา 240 วัน จากนั้นเสนอเข้า ส.ส.ร. ทำประชามติ ทูลเกล้าฯ ถวาย แบบนี้จึงจะเป็นรัฐธรรมนูญโดยประชาชน เห็นชอบโดยประชาชน ทุกอย่างก็จะยุติ ซึ่งเป็นกระบวนการสู่ความปรองดองที่ถูกต้อง เป็นวิธีที่ทำให้ประเทศหลุดจากกับดัก” นายโภคินกล่าว
ด้านนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนขอตั้งฉายารัฐธรรมนูญ 60 ว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับ 3 ขัง 1.ขังผู้เห็นต่าง เพราะขณะรณรงค์ประชามติมีประชาชนจำนวนไม่น้อยถูกจับกุมและดำเนินคดี โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าเราบิดเบือนเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่เป็นความจริง 2.ขังผู้สร้าง คือขัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้อยู่กับเรา วันนี้มีการพูดถึงเรื่องกรณีถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วน ซึ่งรัฐธรรมนูญนี้คือผู้สร้าง พล.อ.ประยุทธ์ วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังเผชิญกับวิบากกรรมในการไม่ถวายสัตย์ฯ ให้ครบ ถ้าไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตนเชื่อว่าเรื่องการถวายสัตย์ฯ จะไม่เป็นประเด็น ดังนั้น วันนี้วิบากกรรมคือ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องผูกพันกับสิ่งที่ตัวเองเขียนไว้ และ 3.ขังประเทศไทยไม่ให้เดินไปไหน และเราต้องอยู่กับมันอีกนาน
ไม่ใช่ฉันทามติของสังคม
นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า พรรคอนาคตใหม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพียงแต่การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องใช้เวลา และไม่ง่ายด้วยกลไกต่างๆ จึงแบ่งการแก้ไขเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น คือ พรรคอนาคตใหม่ต้องการเสียง ส.ส. 100 เสียง เพื่อยื่นต่อสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่วันนี้พรรคอนาคตใหม่มี 80 เสียง โดยเราต้องการยกเลิกบทบัญญัติที่รับรองประกาศ และคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าถูกต้องตามกฎหมาย และให้ยกเลิกบทเฉพาะกาลที่เกี่ยวกับสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ส่วนระยะยาว เป็นเรื่องยากเพราะเกี่ยวกับสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องกลับไปที่ประชาชนว่าอยากให้รัฐธรรมนูญมีเนื้อหาสาระอย่างไรบ้าง
“สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกสังคมมาตลอด คือตัวเขาคือฉันทามติของสังคมไทย ทั้งที่จริง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่ฉันทามติของสังคม แต่เป็นเพราะการรณรงค์ช่วงการทำประชามติรัฐธรรมนูญ ภาคประชาชนทำการรณรงค์ได้อย่างยากลำบาก เพราะมีการจับกุมดำเนินคดีกับคนเห็นต่างมากมาย ดังนั้น การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ วันที่ 7 ส.ค.2559 จึงไม่ใช่ฉันทามติของประชาชนแต่อย่างใด พล.อ.ประยุทธ์จะเอามาเป็นใบผ่านทางที่บอกว่าผ่านฉันทามติมาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เราไม่อยากทำรัฐธรรมนูญฉบับแก้แค้น ไม่ได้ต้องการสร้างความขัดแย้ง แต่ถ้าจะยุติต้องยุติภายใต้ระบอบประชาธิปไตย” นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า พรรคอนาคตใหม่อยากเห็นการตั้ง ส.ส.ร. แต่ปัญหาคือการเสนอญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าสู่สภาท้ายที่สุดก็ต้องเจอเสียงส.ว. 1 ใน 3 หรือ 84 คน มาร่วมกระบวนการด้วยจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่หากไม่ได้จำกัดแค่ภาคการเมือง แต่รวมถึงภาคประชาชนด้วย ตนคิดว่าการถ่วงดุลเสียงของ ส.ว.อาจจะเป็นไปได้มากขึ้น หากประชาชนลงชื่อตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 โดยอาศัยเสียงประชาชน 5 หมื่นรายชื่อ ดังนั้น วันนี้หากต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะอาศัยภาคการเมืองอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องให้ภาคประชาชนได้หาทางออกร่วมกันด้วย หากปราศจากการมีส่วนร่วมของประชาชนคงทำไม่ได้
วันเดียวกันนี้ ดร.เสรี วงษ์มณฑา โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า "ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ถ้าจะให้ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรุณาบอกมาก่อนว่าจะแก้มาตราไหน มาตรานั้นทำให้ประชาชนเสียหายอย่างไร จะแก้ให้เป็นยังไง ถ้าแก้แล้วจะเป็นผลดีกับประชาชนยังไง แก้ทั้งฉบับเราไม่เอาแน่ๆ แก้แล้วนักการเมืองชั่วๆ ลอยนวล เราก็ไม่เอา แก้แล้วปราบคนโกงไม่ได้ก็ไม่เอา แก้เพื่อชาติและประชาชนอย่างสมเหตุสมผลบางมาตราพอจะคุยกันได้ แต่ฉีกทิ้งทั้งฉบับ อย่าได้พยายามเลย ประชาชนที่ทนทุกข์กับนักการเมืองขี้โกงมานานไม่เอาด้วยแน่ๆ อย่าเหนื่อยเปล่าเลย".
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |