มหาอำนาจล้างสัญญานิวเคลียร์ INF ภัยลามถึงอาเซียน อะไรคือ Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty :


เพิ่มเพื่อน    

 

สนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง หรือ Intermediate-Range Nuclear Forces (INF) Treaty (1987) เป็นสนธิสัญญาทวิภาคีระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียต (ในขณะนั้น) เมื่อ 8 ธันวาคม 1987 ทั้ง 2 ประเทศตกลงที่จะกำจัดอาวุธนิวเคลียร์ทุกประเภท ทั้งขีปนาวุธ จรวดร่อนที่ติดตั้งกับยานพาหนะทางบก (mobile ground-launched cruise missiles: GLCM) มีพิสัยระหว่าง 500-5,500 กิโลเมตร (300-3,000 ไมล์) (มาตรา 1) รวมทั้งระบบที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบปล่อยอาวุธ ระบบสนับสนุนต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพบรรจุตัวขีปนาวุธหรือไม่

                ขีปนาวุธพิสัยใกล้ (Short-range ballistic missile: SRBM) มีพิสัย 500-1,000 กม. (620 ไมล์) ระดับที่เหนือจากพิสัยใกล้เรียกว่าพิสัยกลาง เช่น Medium-range ballistic missile (MRBM) อยู่ในช่วงระยะ 1,000-3,000 กม. กับ Intermediate-range ballistic missile (IRBM) อยู่ในช่วง 3,000-5,500 กม. ถ้าเกินกว่า 5,500 กม. เรียกว่าขีปนาวุธข้ามทวีป (Intercontinental ballistic missile : ICBM) อีกประเภทที่สั้นกว่าพิสัยใกล้ คือ Tactical ballistic missile มีระยะ 150- 300 กม.

ดังนั้น สนธิสัญญาดังกล่าวครอบคลุมทั้งอาวุธนิวเคลียร์พิสัยใกล้ถึงกลางที่ติดตั้งบนสถานีหรือระบบปล่อยภาคพื้นดิน        ขีปนาวุธข้ามทวีปปัจจุบันใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจึงจะถึงเป้าหมาย ส่วนพิสัยกลางใช้เวลาสั้นกว่า 15 นาที โอกาสป้องกันมีน้อยกว่า

                ย้อนประวัติศาสตร์ช่วงกลางทศวรรษ 1970 สหภาพโซเวียตเริ่มประจำการขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (IRBMs) รุ่นใหม่ SS-20 ที่ติดตั้งบนยานยนต์ ขีปนาวุธมีความแม่นยำสูง แต่ละลูกสามารถบรรจุ 3 หัวรบที่กำหนดเป้าหมายต่างกัน เป็นรุ่นที่มีขีดความสามารถเหนือกว่ารุ่นก่อนมาก ด้วยพิสัย 5,500 กิโลเมตร สามารถโจมตียุโรปตะวันตก แอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลางและเอเชียเกือบทั้งหมด ไกลไปถึงอะแลสกา จากฐานยิงในเขตแดนโซเวียต

                นาโตโต้กลับด้วยการเจรจาลดจำนวนหัวรบนิวเคลียร์พิสัยกลาง พร้อมกับประจำการจรวดร่อนกว่า 400 ลูก จรวดร่อน BGM-109G Tomahawk ติดหัวรบนิวเคลียร์ W80 พิสัย 2,500 กม. ขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง Pershing II จำนวน 108 ลูกในยุโรปตะวันตก รวมทั้งสิ้น 572 หัวรบ นิวเคลียร์เหล่านี้ติดตั้งในสหราชอาณาจักร อิตาลี เยอรมนี เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์

                โซเวียตเห็นด้วยกับการเจรจาลดอาวุธ ทั้ง 2 ฝ่ายลงนามข้อตกลงเป็นที่มาของ Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty : INF (1987) สนธิสัญญานี้เป็นเครื่องหมายสำคัญของการลดความตึงเครียดสงครามเย็นในยุคนั้น

                แต่แล้วมหาอำนาจทั้ง 2 ต่างถอนตัวออกจาก INF เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ในเชิงยุทธศาสตร์ทางทหารสหรัฐ :

                ถ้ามองจากมุมสหรัฐ ผลดีของการติดตั้งนิวเคลียร์พิสัยกลางกับใกล้ในประเทศอื่นมีข้อดีเชิงยุทธศาสตร์ทางทหารชัดเจน เพราะหมายถึงได้วางอาวุธในตำแหน่งที่คุกคามปรปักษ์หนักข้อกว่าเดิม ได้พันธมิตรทางทหารที่ใกล้ชิดอย่างถึงที่สุด ประเทศนั้นตีตัวออกห่างจากปรปักษ์ และหากเกิดสงครามนิวเคลียร์จะช่วยแบ่งเบาเป้าโจมตีด้วยนิวเคลียร์จากปรปักษ์

                จึงไม่แปลกที่รัฐบาลทรัมป์ถอนตัวออกจาก INF พยายามติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในประเทศต่างๆ รายล้อมประเทศปรปักษ์นิวเคลียร์ซึ่งหมายถึงรัสเซียกับจีน

                เป็นไปได้ว่าในอนาคตจำนวนหัวรบจะลดลง แต่เพิ่มความหลากหลาย ทั้งพิสัยใกล้-กลาง-ไกล หัวรบแบบใหม่ที่มีความรุนแรงไม่มาก เป็นอีกหลักฐานชี้ว่า จากนี้อีกหลายทศวรรษ รัฐบาลสหรัฐยังเห็นว่าอาวุธนิวเคลียร์จำเป็นต่อความมั่นคงประเทศ ตอกย้ำว่ารัฐบาลสหรัฐไม่ยอมรับแนวคิดปลอดนิวเคลียร์ จะประจำการชนิดและจำนวนตามที่เห็นควร รักษาความเป็นอภิมหาอำนาจทางทหารโลก

                แนวคิดนี้อธิบายว่าการเอ่ยว่ารัสเซียละเมิด INF เป็นเพียงข้ออ้างที่หยิบขึ้นมาใช้ ไม่ว่ารัสเซียละเมิดจริงหรือไม่ รัฐบาลสหรัฐจะหาทางยกเลิก INF ให้จงได้ (เหมือนที่เคยใช้วิธีนี้กับหลายเรื่อง) เพื่อยกเครื่องกองกำลังนิวเคลียร์ของตน เป็นมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์ต่ออีกหลายทศวรรษ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ (Nuclear Posture Review) ล่าสุดฉบับปี 2018

                ส่วนเรื่องการเจรจาเป้าหมายรอง ถึงมีการเจรจาใช่ว่าสหรัฐจะไม่ประจำการนิวเคลียร์พิสัยกลางกับใกล้ การเจรจาเพียงเป็นผลพลอยได้ขึ้นกับว่ารัฐบาลในขณะนั้นจะบริหารจัดการอย่างไร รวมความแล้วนโยบายของสหรัฐเป็นเหตุให้โลกตกอยู่ภายความเสี่ยงสงครามนิวเคลียร์มากขึ้นกว่าเดิม (จากทุกประเทศที่มีนิวเคลียร์) ทั้งๆ ที่พ้นสงครามเย็นนานแล้ว

นิวเคลียร์สหรัฐกับออสเตรเลีย :

                ทันทีหลังสหรัฐถอนตัวออกจาก INF มาร์ก เอสเปอร์ (Mark Esper) รมต.กลาโหม กล่าวว่า สหรัฐอาจเริ่มทดสอบอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางที่ติดตั้งภาคพื้นดินอีกครั้ง หวังจะติดตั้งที่ใดที่หนึ่งในเอเชีย

                ท่ามกลางกระแสรัฐบาลสหรัฐอยากติดตั้งนิวเคลียร์ในเอเชียเพื่อปิดล้อมจีน ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกๆ ที่ตกเป็นข่าวเรื่องนี้ แต่ทันทีที่มีข่าวสกอตต์ มอร์ริสัน (Scott Morrison) นายกฯ ออสเตรเลียกล่าวปฏิเสธแนวคิดติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางไว้ที่ประเทศตนทันที

                ถ้าจะวิเคราะห์ให้ชัด สิ่งที่รัฐบาลทรัมป์เอ่ยถึงในช่วงนี้คือการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางภาคพื้นดิน มีพิสัยไม่เกิน 5,500 กิโลเมตร แต่ออสเตรเลียอยู่ห่างจากแผ่นดินจีนมากกว่านั้น ได้แค่เป้าหมายในทะเลจีนใต้ อาจมองว่าเพื่อต้านกองเรือจีน ฐานทัพที่จีนใช้ในย่านนี้ จึงเป็นตรรกะที่ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว หากจะติดตั้งนิวเคลียร์พิสัยกลางภาคพื้นดินในออสเตรเลียเพื่อต้านจีน

                นำสู่คำถามว่า 1.ที่รัฐบาลสหรัฐต้องการจริงๆ คือหวังใช้ออสเตรเลียเป็นฐานเครื่องบินรบหรือฐานทัพเรือเพื่อปล่อยนิวเคลียร์พิสัยกลางหรือไม่ 2.มีความคิดต้องการติดตั้งขีปนาวุธข้ามทวีปในออสเตรเลีย ใช่หรือไม่ 3.ถ้าติดตั้งนิวเคลียร์พิสัยกลางในออสเตรเลียจะมีเพื่อต้านประเทศกลุ่มอาเซียน อินเดีย ไม่ใช่ต้านจีนเท่านั้น

                เป็นปริศนาที่น่าสนใจ

เขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ :       ฟิลิปปินส์เป็นอีกประเทศที่ถูกเอ่ยถึงแต่โรดริโก ดูเตร์เต (Rodrigo Duterte) ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์โต้ทันทีว่าจะไม่ยอมให้สหรัฐนำอาวุธนิวเคลียร์มาประจำการในประเทศเพื่อต้านจีนเด็ดขาด หากเกิดสงครามนิวเคลียร์ การเป็นพันธมิตรนิวเคลียร์ไม่ช่วยอะไร จะพังพินาศไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วรัฐบาลสหรัฐจะเสาะหาประเทศในเอเชียที่ยอมให้ติดตั้งนิวเคลียร์สหรัฐ

                ความจริงคืออาเซียนมีข้อตกลงเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Nuclear Weapon-Free Zone : SEANWFZ) หรือสนธิสัญญากรุงเทพ (Bangkok Treaty) มีผลบังคับใช้ถาวรตั้งแต่ 28 มีนาคม 1997 สาระสำคัญคือ รัฐภาคีสมาชิกจะต้องไม่พัฒนา ผลิต ครอบครอง หรือควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ มีสถานีอาวุธนิวเคลียร์ ทดสอบหรือใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่ใดภายในหรือนอกเขตสนธิสัญญา และไม่แสวงหาความช่วยเหลือใดๆ ในเรื่องนี้ อีกทั้งไม่จัดหาแหล่งหรือวัสดุหรือเครื่องมือให้แก่ประเทศใดๆ เว้นเสียแต่อยู่ภายใต้ข้อตกลงด้านการป้องกันของ IAEA และไม่ทำการทิ้งสารพิษกัมมันตรังสีภายในเขตฯ

                ดังนั้น สมาชิกอาเซียนไม่สามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์จากประเทศใดๆ เว้นแต่ประเทศนั้นถอนตัวออกจากประชาคมอาเซียน ยกเลิกสนธิสัญญา SEANWFZ

                นับเป็นความชาญฉลาดของอาเซียนในบริบทการแข่งขันนิวเคลียร์ระหว่างมหาอำนาจ

                สนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (INF) 1987 เป็นผลจากการแข่งขันนิวเคลียร์ในอดีต และมุ่งเป้าแถบยุโรป มาบัดนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยนไป รัฐบาลสหรัฐมองมาที่จีนด้วยตามกรอบอินโด-แปซิฟิก (ตั้งแต่อนุทวีปอินเดียถึงเอเชียแปซิฟิก) อาเซียนเป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้อง พัวพันกับการแข่งขันอาวุธนิวเคลียร์ของมหาอำนาจในย่านนี้อีกครั้ง สุ่มเสี่ยงสงครามนิวเคลียร์ เป็นอีกประเด็นที่ควรติดตามใกล้ชิด.

------------------------

ภาพ : ขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง SS-20 ที่ถูกถอนและทำลายเพราะ INF

ที่มา : https://airandspace.si.edu/collection-objects/ss-20-missile-saber-russia-photograph

------------------------ 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"