ดู'หลุยส์ สก๊อต'ในละครบุพเพสันนิวาส ย้อนดู'เจ้าพระยาวิชาเยนทร์'แห่งกรุงศรีอยุธยา


เพิ่มเพื่อน    


    ละคร บุพเพสันนิวาส กำลังฮิตติดลมบน ขนาดนายกฯลุงตู่ยังแนะนำให้ดู เพราะได้ศึกษาประวัติศาสตร์รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไปในตัว  ก็ถือเป็นละครอิงประวัติศาสตร์ที่น่าชมเรื่องหนึ่ง เพราะตัวละครในประวัติศาสตร์ซึ่งมีตัวตนอยู่จริง   หลายท่านปรากฎในแบบเรียนประวัติศาสตร์ชั้นประถมศึกษา และเข้าใจว่าหลายคนคงคืนคุณครูไปหมดแล้ว ฉะนั้นมาทำความรู้จักบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคพระนารายณ์กันใหม่ 
    ตอนนี้เริ่มต้นที่ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์  ที่แสดงโดยหลุยส์ สก๊อต เพราะเจ้าพระยาตาน้ำข้าวผู้นี้มีบทบาทสูงในรัชสมัยดังกล่าว 
    เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เดิมชื่อ  คอนสแตนติน  เยรากี  เป็นชาวกรีกเป็นลูกเรือรับจ้างของอังกฤษที่เดินทางมาค้าขายทางด้านตะวันออก  
    ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น  คอนสแตนติน  ฟอลคอน  มากับเรือสินค้าอังกฤษถึงกรุงศรีอยุธยาเมื่อ  พ.ศ. 2218   และได้ลาออกจากบริษัทค้าขายของอังกฤษ  สมัครเข้ารับราชการอยู่กับเจ้าพระยาโกษาธิบดี  (ขุนเหล็ก)  ในกรมพระคลังสินค้า  
    พ.ศ. 2225 ฟอลคอนแต่งงานกับดอญา มารี กีมาร์ (ท้าวทองกีบม้า) ซึ่งภายหลัง เป็นผู้ประดิษฐ์ขนมไทยหลายอย่าง
    เนื่องจากเป็นผู้ที่เคยทำงานอยู่กับอังกฤษและรู้การค้าขายกับชาวต่างชาติเป็นอย่างดี  จึงมีความชอบและเป็นที่ไว้วางใจในด้านการค้ากับชาวต่างประเทศ  เจ้าพระยาโกษาธิบดี   จึงกราบทูลสมเด็จพระนารายณ์  ทรงโปรดให้เป็น  หลวงวิชาเยนทร์  และมีบรรดาศักดิ์ต่อมาจนได้เป็นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องการค้าขายกับต่างประเทศและการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ  ทำให้มีการส่งคณะราชทูตเดินทางไปยังฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆ
    การค้าขายของกรุงศรีอยุธยานั้น  เจ้าพระยาวิชาเยนทร์  ได้คิดอ่านที่จะสร้างเรือกำปั่นหลวงเพิ่มเติมขึ้น  จึงชักชวนให้พวกอังกฤษออกจากบริษัทมารับเดินเรือกำปั่นหลวง  โดยมีข้อตกลงว่ายอมให้มีการนำสินค้าของตนไปกับเรือหลวงได้  
    จากนั้นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ได้ทูลขอให้สมเด็จพระนารายณ์  ทรงตั้งเมืองมะริดซึ่งเป็นเมืองท่าของกรุงศรีอยุยาอยู่นั้นเป็นสถานีค้าขายของหลวงและทำการสร้างป้อมประจำท่า  เช่นเดียวกับสถานีค้าขายของประเทศตะวันตกที่ตั้งขึ้นในแถบนั้น
    การที่กรุงศรีอยุธยาได้จัดการค้าขายดังกล่าวนั้น  ทำให้บริษัทอังกฤษที่มีอำนาจทางการค้าอยู่ทางด้านตะวันตกไม่พอใจ  โดยเฉพาะมีการดึงคนอังกฤษออกไปจากบริษัท  และอังกฤษเองก็ต้องการที่จะมีอำนาจในเมืองมะริดไว้เป็นเมืองท่าของตน  บริษัทของอังกฤษจึงแจ้งเรื่องไปยังทางการอังกฤษกล่าวโทษเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ว่าเป็นพวกฝรั่งเศส  และคิดอ่านเกลี้ยกล่อมคนอังกฤษไปตั้งซ่องเพื่อประโยชน์ของตนเอง  หาใช่ความคิดของอาณาจักรสยาม 
    ทำให้อังกฤษนั้นขัดเคืองจึงเรียกคนอังกฤษที่มาทำงานให้กันอาณาจักรสยามกลับหมด  แล้วบริษัทอังกฤษจึงถือโอกาสนั้นแต่งเรือรบออกจับเรือสินค้าของอาณาจักรสยามที่เดินทางไปค้าขายทางอินเดีย  ยื่นคำขาดให้  พระยาตะนาวศรี มีหนังสือมากราบทูลสมเด็จพระนารายณ์  กล่าวโทษว่า  เจ้าพระยาวิชาเยนทร์นั้นได้ทำการกลั่นแกล้งให้บริษัทต่างๆ  ได้รับความเสียหายไปถึง  40,000  ปอนด์  เพื่อให้มีการชดใช้ทรัพย์สินภายในกำหนด  2  เดือน 
    ยังไม่ทันที่กรุงศรีอยุธยาจะทำการโต้ตอบอย่างใด  อังกฤษได้ส่งเรือรบมายังเมืองมะริด  แล้วให้ทหารขึ้นบกเข้ายึดเมืองมะริด  ทำการรื้อป้อมและแย่งเอาเรือกำปั่นหลวงของไทยไปได้  1  ลำ  ฝ่ายพระยาตะนาวศรีนั้นเมื่อเห็นว่าอังกฤษได้กระทำการก่อสงครามขึ้นเช่นนั้น  จึงยกกองทัพเข้าปล้นเมืองมะริดในเวลากลางคืน  ทำการชิงเมืองฆ่าพวกอังกฤษตายเป็นอันมาก  ที่รอดตายก็หนีลงเรือไปได้  
    เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น  เมื่อกรุงศรีอยุธยาทราบเรื่อง  สมเด็จพระนารายณ์จึงได้ประกาศสงครามกับอังกฤษ  เมื่อ  พ.ศ. 2230  ทำให้อาณาจักรสยามกับอังกฤษนั้นเป็นข้าศึกต่อกันมาตลอดรัชกาล
    ครั้นเมื่อ  ออกพระยาวิสูตรสุนทร  (ปาน  ต่อมาเป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดี)  ได้นำคณะราชทูตกลับมาจากฝรั่งเศส  เมื่อเดือนกันยายน  พ.ศ. 2230  นั้น  พระเจ้าหลุยส์ที่  14  ได้จัดคณะราชทูตฝรั่งเศสเดินทางตามมาส่งถึงกรุงศรีอยุธยาด้วยพร้อมกับได้จัดทหารฝรั่งเศสติดตามมาด้วย  1,400  คนเข้ามารับราชการอยู่กับสมเด็จพระนารายณ์ด้วย
    สมเด็จพระนารายณ์  ได้ส่งให้ทหารฝรั่งเศสนี้ไปรักษาป้อมที่เมืองมะริด  2  กองร้อย  และทหารที่เหลือนั้นให้ไปอยู่ประจำที่เมืองธนบุรีศรีสมุทร  โดยให้ทำการจัดสร้างป้อมใหญ่ขึ้นทางฝั่งตะวันออก  (บริเวณโรงเรียนราชินี)  ขึ้นอีกป้อมหนึ่ง  เพื่อกันไม่ให้ทหารฝรั่งเศสอยู่ในกรุงศรีอยุธยา
    เมืองมะริดนั้นเมื่อสมเด็จพระนารายณ์ส่งทหารฝรั่งเศสไปอยู่ประจำเช่นนั้นแล้ว  บริษัทอังกฤษจึงไม่กล้ายกกำลังเข้ามาบุกรุกอีก  สมเด็จพระนารายณ์  จึงได้มีพระราชไมตรีกับฝรั่งเศสอย่างแน่นแฟ้นและสร้างเมืองลพบุรีให้เป็นเมืองราชธานีสำรองของอาณาจักรสยามไว้  ซึ่งทรงโปรดให้คณะราชทูตฝรั่งเศสและเจ้าพระยาวิชาเยนทร์  อยู่ประจำที่เมืองลพบุรีเช่นเดียวกับพระองค์  คณะราชทูตฝรั่งเศสพำนักอยู่ในอาณาจักรสยามได้  3  เดือนก็เดินทางกลับฝรั่งเศส  
    ส่วนพระวิสูตรสุนทร  (ปาน)  นั้น  ได้แต่งตั้งให้เป็นพระยาโกษาธิบดี  ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์  ได้ทรงแต่ง  คณะราชทูตส่งไปพร้อมกับคณะราชทูตของฝรั่งเศสอีกครั้งนี้คณะราชทูตได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่  14  และเฝ้าสันตะปาปาหรือโป๊ปที่กรุงโรมด้วยพร้อมกับได้จัดส่งเด็กไทยหลายคนไปเล่าเรียนวิชาที่เมืองฝรั่งเศสด้วย
    ความใกล้ชิดระหว่างเจ้าพระยาวิชเยนทร์และสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทำให้เกิดความริษยาขึ้นในหมู่ราชนิกุล ซึ่งส่งให้เกิดผลเสียต่อตัวเจ้าพระยาวิชเยนทร์เองในเวลาต่อมา 
    คณะราชทูตฝรั่งเศสได้เดินทางกลับไปแล้วได้  5  เดือน  สมเด็จพระนารายณ์ทรงประชวรหนักและเหตุเหตุการณ์จลาจลภายในขึ้น  เนื่องจาก  สมเด็จพระนารายณ์ ไม่มีพระราชโอรสที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาท  พระองค์ทรงมีแต่พระธิดาที่ทรงแต่งตั้งเป็น  กรมหลวงโยธาเทพกับพระน้องเธอ  3  พระองค์ ได้แก่  เจ้าฟ้าหญิงที่ทรงตั้งเป็น  กรมหลวงโยธาทิพ,  เจ้าฟ้าอภัยทศ  และเจ้าฟ้าองค์น้อย  ไม่ปรากฏพระนาม  นอกจากนี้พระองค์ยังทรงชุบเลี้ยงเจ้าราชินิกูลองค์หนึ่งที่ทรงเมตตาเหมือนพระราชบุตร  คือ  พระปีย์  (หรือพระปิยะ)
    ดังนั้นผู้ที่จะรับเวนราชสมบัตินั้น  เจ้าพระยาวิชาเยนทร์เห็นว่า  สมเด็จพระนารายณ์จะมอบราชสมบัติให้  พระปีย์  จึงเข้าเกลี้ยกล่อให้พระปีย์  เข้าเป็นพรรคพวกฝรั่งเศส  มีความสัยว่าพระปีย์นั้นเข้ารีตเป็นคริสตังแล้วด้วย  ส่วนฝ่ายข้าราชการที่พากันระแวงการกระทำของพระยาวิชาเยนทร์จะคิดร้ายต่อบ้านเมือง  จึงพากันไปเข้ากับพระเพทราชา  ซึ่งมีความเกลียดชังฝรั่งเศสอยู่ก่อนแล้ว
    สมเด็จพระนารายณ์นั้นทรงประชวรอยู่ที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์  เมืองลพบุรี  พระเพทราชา  กับ  หลวงสรศักดิ์  เห็นว่า  พระเจ้าเหนือหัวทรงมีพระอาการหนัก  ไม่ทรงหายประชวรแน่แล้ว  จึงสั่งให้ตั้งกองทหารล้อมรักษาพระราชวังอย่างกวดขัน  แล้วทำการล่อเอาตัวพระปีย์  ไปประหารชีวิตเสียแล้วทำการจับเอาตัวเจ้าพระยาวิชาเยนทร์มาไต่สวนกล่าวโทษว่า  เจ้าพระยาวิชาเยนทร์นั้นเป็นกบฏจะชิงราชสมบัติให้พระปีย์  ด้วยประสงค์จะเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเสียเอง  เมื่อสอบสวนแล้วก็ให้เอาตัวเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ไปประหารชีวิตเสียที่ทะเลชุบศร
    สมเด็จพระนารายณ์นั้นทรงประชวรหนักอยู่  เมื่อทรงทราบว่า  พระปีย์และเจ้าพระยาวิชาเยนทร์  ได้สิ้นชีวิตลงเสียแล้ว  พระองค์ไม่สามารถจะทำอย่างไรได้  จึงได้เศร้าพระทัยแทบจะสิ้นใจ  จากนั้น  พระเพทราชา  ได้ให้คนลงมาเชิญเจ้าฟ้าหญิงอภัยทศ  ไปเมืองลพบุรี  เจ้าฟ้าอภัยทศ  นั้นสำคัญว่าจะได้รับราชสมบัติ  ก็มีพระทัยยินดีจึงชวนพระน้องอีกพระองค์หนึ่ง  (ไม่ทราบนาม)  ไปด้วย  พระเพทราชาทรงรับรองเจ้าฟ้าอภัยทศเป็นอย่างดี  ต่อมาอีก  2  วัน  หลวงสรศักดิ์บุตรของพระเพทราชานั้นได้ปลงพระชนม์เจ้าฟ้าอภัยทศกับพระน้องเธอองค์นั้นเสีย  โดยประสงค์ที่จะให้พระเพทราชานั้นจะต้องชิงราชสมบัติคราวนี้เสียเอง
    ขณะนั้นพระเพทราชานั้น  ได้มุ่งที่จะทำการกำจัดพวกฝรั่งเศสที่อยู่ในอาณาจักรสยาม  โดยเฉพาะทหารฝรั่งเศสที่ประจำอยู่ป้อมเมืองธนบุรีศรีสมุทร  จึงมีเหตุการณ์สู้รบกันขึ้น  ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์ที่ทรงประชวรอยู่เมืองลพบุรีนั้นสวรรคตลงเมื่อ  พ.ศ. 2231  เจ้านายฝ่ายราชวงศ์นั้นได้หมดสิ้นลงแล้ว  และเวลานั้นมีเหตุการณ์สู้รบกับทหารฝรั่งเศสอยู่  จึงทำให้ข้าราชการทั้งปวงจำต้องเชิญพระเพทราชาขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาต่อมา  เป็นการเริ่มต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"